"หวยซอง เลขเด็ด เขียนโดยสาธารณชน เป็นการเสนอแนะเพื่อเสี่ยงโชคซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ถูกกฎหมายเท่านั้น ไม่มีการขายหวยทุกชนิด และ ไม่มีใครทราบว่าหวยจะออกตัวไหน โปรดใช้วิจารณญาณ"

เรื่อง: นิทานสีขาว
 
 6698

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

  • พลังน้ำใจ: 15
13 กันยายน 2009, 00:22:24น.
 &*(_ &*(_ &*(_ &*(_
หลาย ๆ ท่านอาจจะเคยอ่านแล้ว  หลาย ๆ ท่านอาจจะยังไม่เคยอ่าน
panyada  ซื้อมาอ่านแล้วชอบมาก ๆ อยากให้ลองอ่านดู เอาไปเล่าให้เพื่อน ๆ น้อง ๆ เด็ก ๆ ฟังมีข้อคิดดี ๆ เยอะเลยค่ะ
เรื่องบางเรื่องเราก็หลงลืมไป  พอได้อ่านก็ทำให้รู้สึก.....อือ  ใช่สินะ
ขอบคุณ  ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา  ที่ทำให้ panyada  รู้ว่าคนที่เก่งและดีก็ยังมีอีกเยอะแยะ  และการที่จะเป็นคนที่เก่ง  ดี  มีความสุขมันก็ไม่ใช่เรื่องยาก

ที่มา  หนังสือนิทานสีขาว  โดย  ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 กันยายน 2009, 01:03:55น. โดย panyada


  • พลังน้ำใจ: 15
ตอบกลับ #1 13 กันยายน 2009, 00:28:18น.
น้ำกับทิฐิ

นานมาแล้วมีชายคนหนึ่งชื่อว่า ทิฐิ เขาเป็นคนที่มีนิสัยอวดดื้อถือดี ไม่ต่างจากชื่อ เพราะเมื่อได้ลองเชื่อมั่นในสิ่งใดแล้ว ทิฐิคนนี้ก็จะยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้นไม่เปลี่ยน และจะไม่ยอมรับฟังข้อคิดเห็นที่ผิดไปจากความเชื่อเดิมโดยเด็ดขาด แม้ว่านี่จะแสดงให้เห็นถึงความเป็นคนเอาจริงเอาจังและเคร่งครัดกับชีวิต แต่บางครั้งเขาก็ดื้อรั้นมากเกินไปจนขาดเหตุผล และทำให้สูญเสียสิ่งดีๆในชีวิตไปมากมาย โดยที่เขาเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน

     เนื่องจากทิฐิไม่ใช่คนร่ำรวย ดังนั้นเขาจึงต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินมาใช้จ่าย จนกระทั่งมีฐานะขึ้นมาในระดับหนึ่งแล้ว ทิฐิจึงคิดที่จะหยุดพักตัวเองจากการงาน แล้วเดินทางไปเรื่อยๆ เพื่อเที่ยวชมโลกกว้าง

     เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้น ทิฐิจึงจัดการฝากบ้านไว้กับญาติพี่น้อง แล้วเก็บสัมภาระออกเดินทางทันที

     ทิฐิเดินทางไปยังที่ต่างๆ ชมนั่นแลนี่ และพูดคุยกับผู้คนที่อยู่ในที่เหล่านั้นมากมาย การท่องโลกกว้างของทิฐิน่าจะทำให้เขามีความรู้ดีๆ หรือเกิดทัศนคติใหม่ๆขึ้นมาบ้าง แต่เมื่อไรก็ตามที่มีคนกล่าวคำซึ่งผิดไปจากความรู้หรือความเชื่อมั่นเดิมของเขา ทิฐิก็จะรีบกล่าวแก่คนๆนั้นทันทีว่า

     "นั่นไม่ถูกเลยนะ ที่จริงแล้วมันต้องเป็นดังที่ข้ารู้มาต่างหาก"

     สิ่งนี้เองทำให้การเดินทางไปทั่วโลกของเขา แทบจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดขึ้นในชีวิตของเขาเลย

     จนกระทั่งวันหนึ่งทิฐิได้พลัดหลงเข้าไปในดินแดนแห่งทะเลทรายอันแสนแห้งแล้ง และไร้ผู้คนสัญจร เขาหลงทางอยู่ในดินแดนแห่งนั้นสามวันสามคืน จนกระทั่งอาหารและน้ำดื่มร่อยหรอและหมดลงในที่สุด ทิฐิจึงเดินต่อไปไม่ไหว เขาล้มลงนอนบนผืนทรายอย่างคนสิ้นเรี่ยวแรง

     แต่ทิฐิยังไม่อยากตายตอนนี้ ดังนั้นแม้ร่างกายจะอ่อนระโหยโรยแรงขนาดไหน แต่เขาก็รวบรวมพลังใจของตนเผ้ากล่าวคำภาวนาขอความเมตตาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยเหลือเขาด้วย

     "ข้าแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ได้โปรดเมตตาข้า ผู้ซึ่งไม่เคยเบียดเบียนใคร ขอทรงประทานน้ำมาให้ข้าได้รักษาชีวิตของตนเองไว้ แม้เพียงหนึ่งหยดก็ยังดี"

     แล้วในตอนนั้นเอง ทิฐิก็เห็นชายแปลกหน้าชาวเยอรมันคนหนึ่งเดินตรงมาหาเขา ทิฐิดีใจสุดจะกล่าว แล้วรีบพูดขึ้นทันทีว่า

     "โอ...ท่านผู้เป็นความหวังของข้า โปรดแบ่งน้ำของท่านให้ข้าดื่มด้วยเถิด"

     ชายคนนั้นยื่นถุงหนังสีน้ำตาลในมือของให้แก่ทิฐิ แล้วกล่าวว่า

     "นี่คือ วาสซ่าร์ จงดื่มเสียสิ"

     แต่ทิฐิไม่อยากได้วาสซ่าร์ เขาอยากได้น้ำ ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธที่จะรับถุงหนังสีน้ำตาบจากชายแปลกหน้าคนนั้น ชายคนนั้นจังเดินจากไป

     ทิฐิภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง คราวนี้มีชายชาวจีนคนหนึ่งเดินถือถุงหนังสีแดงเข้ามายื่นให้แก่ทิฐิ

     "นี่คือ น้ำ ใช่หรือไม่" ทิฐิถามชายชาวจีน

     "นี่คือ ซือจุ้ย จงดื่มเสียสิ" ชายชาวจีนตอบ

      ทิฐิรู้สึกไม่พอใจ ตอนนี้เขากระหายน้ำมากเหลือเกินแล้ว แต่ทำไมชายผู้นี้จึงนำซือจุ้ย มามอบให้แก่เขาเล่า ทิฐิจึงปฏิเสธถุงหนังสีแดงของชายชาวจีน ชายชาวจีนจึงเดินจากไป

     ทิฐิเริ่มภาวนาถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีก และครั้งนี้มีผู้หญิงชาวอินเดียคนหนึ่งมาปรากฏกายตรงหน้าของเจาในแทบจะทันที

     "เธอผู้มีใจเมตตา ขอน้ำให้ข้าดื่มหน่อยเถิด" ทิฐิพึมพำคำอ้อนวอนออกจากริมฝีปากที่แห้งผาก

     "นี่คือ ปานี จงดื่มเสียสิ" หญิงชาวอินเดียกล่าวพร้อมกับยื่นถุงหนังสีเขียวให้กับทิฐิ แต่นั่นทำให้ทิฐิโกรธมาก เขารวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ยกแขนปัดถุงหนังสีเขียวให้พ้นหน้า แล้วพูดอย่างโกรธเคืองว่า

     "ข้าไม่เอาของๆเจ้า ข้าจะตายเพราะขาดน้ำอยู่แล้ว ข้าต้องการน้ำเท่านั้น!"

     หญิงอินเดียเมื่อได้ฟังดังนั้นก็เดินจากไปอีกคน ทิฐิเฝ้าอ้อนวอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่มีใครนำอะไรมายื่นให้เขาอีกแล้ว

     จิตของทิฐิกำลังหลุดลอยออกจากร่างที่ใกล้แตกดับ แล้วในตอนนั้นเอง เสียงๆหนนึ่งก็ดังแว่วๆให้ได้ยินว่า

     "ทิฐิคนถือดีเอ๋ย เราช่วยเจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับไม่เคยให้โอกาสตนเองเลย หากเจ้าเปิดใจให้กว้าง และยอมรับในข้อดีของสิ่งที่ไม่คุ้นเคยเสียบ้าง เจ้าก็คงรู้ว่าสิ่งที่อยู่ในถุงหนังทั้งสามนั้น ต่างก็เป็นน้ำดื่มบริสุทธิ์ทั้งสิ้น"

       เมื่อสิ้นเสียงแว่วนั้น ทิฐิคนถือดีก็สิ้นลมหายใจทันทีเธอทั้งหลาย...

       เรื่องราวของทิฐินั้น สอนให้เราเปิดตาตนเองให้กว้าง แล้วมองสิ่งต่างๆรอบตัวด้วยสายตาและหัวใจที่ไร้อคติ หากเธอปิดกั้นหัวใจและสายตาของเธอไว้ เธอก็อาจพลาดสิ่งดีๆ ในชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งบางครั้งสิ่งดีๆ เหล่านั้นก็อาจจะไม่หวนกลับมาหาเธออีกแล้ว

     หรืออีกนัยหนึ่ง นิทานเรื่องนี้กำลังบอกเธอทุกคนซึ่งนับถือศาสนาต่างกัน แต่กำลังยืนอยู่บนโลกใบเดียวกัน จงอย่าลืมว่า ศาสนาทุกศาสนานั้นถือกำเนิดขึ้นด้วยความปรารถนาที่จะให้มีคนดีๆ อยู่ร่วมกันเป็นจำนวนมาก แม้คำสอนบางประการจะแตกต่างกัน แม้เสียงสวดมนต์จะเป็นคนละเสียง และธรรมเนียมปฏิบัติก็ไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย แต่เธอทุกคนล้วนได้รับการปลูกฝังให้เติบโตเป็นคนดีเหมือนกัน

       ดังนั้นขอให้เธอเปิดใจตัวเองให้กว้าง และเคารพในคำสอนของศาสนาอื่นๆ แม้เธอจะไม่ได้เป็นศาสนิกชนของศาสนานั้น เธออาจจะนำคำสอนชองเขามาประยุกต์ใช้กับตัวเองบ้าง ถ้าพบว่ามันเข้ากันได้ดีกับการดำเนินชีวิตของเธอ ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน หากเธอจะนำคำสอนเหล่านั้นมาปฏิบัติ ในเมื่อทุกศาสนาล้วนหมายมั่นที่จะพิชิตยอดเขาเดียวกัน นั่นคือ "ยอดเขาแห่งความดี ความรัก และความเมตตา"


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

  • พลังน้ำใจ: 15
ตอบกลับ #2 13 กันยายน 2009, 00:40:31น.
ขนุนผู้ต่ำต้อย

หมู่บ้านทองดี เป็นหมู่บ้านที่มีเศรษฐีทองคำเป็นผู้ปกครอง แม้เศรษฐีทองคำจะเป็นคนร่ำรวยแต่ก็ไม่เคยเอาเปรียบชาวบ้าน กลับใช้คุณธรรมและเงินทองของตนทำนุบำรุงหมู่บ้าน และดูแลความเป็นอยู่ของชาวบ้านให้อยู่กินดีเสมอ ชาวบ้านจึงเคารพรักใคร่เศรษฐีทองคำมาก

เศรษฐีทองคำมีลูกสาวแสนสวยคนหนึ่ง ชื่อว่า ดอกแก้ว ดอกแก้วเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มฐานะดีทั้งในและนอกหมู่บ้านหลายคน แต่ตัวเธอนั้นยังไม่สมัครใจรักใคร่กับชายใด ซึ่งเศรษฐีทองคำก็เห็นด้วยที่ลูกสาวไม่รีบร้อนออกเรือน เพราะหมายมั่นว่าเมื่อถึงเวลาสมควรแล้ว จะยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตน รวมถึงตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านแห่งนี้ให้ตกเป็นของลูกเขยในอนาคตด้วย ดังนั้นเศรษฐีทองคำจึงอยากใช้เวลาเลือกเฟ้นผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในการเป็นทั้งหัวหน้าหมูบ้าน และผู้ที่จะมาดูแลทรัพย์สินของตนเองให้เกิดประโยชน์แก่หมู่บ้านได้ในเวลาเดียวกัน

ดังนั้นในวันหนึ่ง เศรษฐีทองคำจึงให้คนไปป่าวประกาศทั่วหมู่บ้าน และเลยไปถึงหมู่บ้านใกล้เคียงว่า

“มีข่าวล่ามาบอกจ้า มีข่าวล่ามาบอก อีกสามวันเมื่อฟ้าสาง ท่านเศรษฐีทองคำจะทำการเลือกคู่ให้แก่คุณหนูดอกแก้วบุตรสาวคนสวยของท่าน ขอให้บุรุษทุกท่านทั้งคนมีและคนยาก แต่ยังโสดสนิท ที่สนใจเข้ารับการเลือกคู่ครั้งนี้ไปสมัครกันถ้วนหน้า หากบุรุษคนใดผ่านการคัดเลือกและได้แต่งงานกับคุณหนูดอกแก้ว เขาผู้นั้นจะได้รับทรัพย์สมบัติทั้งหมดจากท่านเศรษฐีและได้รับตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านแห่งนี้ต่อจากท่านด้วยจ้า”

เมื่อมีประกาศนี้ออกมา พวกผู้ชายที่รู้ข่าวต่างพากันตื่นเต้นดีใจ รวมทั้งขนุน หนุ่มน้อยคนยากที่อาศัยอยู่ตรงกระต๊อบปลายนาด้วย

ขนุนนั้นเคยพบหน้าแม่ดอกแก้วคนสวยอยู่ครั้งหนึ่ง และเกิดหลงรักปักใจมานับแต่บัดนั้น แต่ขนุนเป็นคนเจียมตัว เขาคิดว่าตนเองไม่คู่ควรกับลูกสาวของท่านเศรษฐี จึงไม่เคยพยายามสานต่อความสัมพันธ์กับนาง อย่างไรก็ตาม เมื่อท่านเศรษฐีมีประกาศออกมาเช่นนี้ ขนุนก็คิดว่าเขาน่าจะไปลองสมัครดูสักหน่อย หากมีบุญวาสนาต้องกันก็คงได้ครองคู่ แต่หากต้องผิดหวังเขาก็ไม่เสียใจ และขอยินดีกับหญิงที่เขาแอบรักด้วย

ถึงวันเลือกคู่ ขนุนรีบไปที่บ้านของเศรษฐีทองคำแต่เช้า เมื่อไปถึงก็ปรากฏว่าที่นั่นเต็มไปด้วยบุรุษมากหน้าหลายตา และทุกคนก็เหมือนจะเป็นบุรุษจากครอบครัวผู้มีฐานะดี มีชาติตระกูล ในขณะที่บางคนก็ดูทรงภูมิท่าทางมีการศึกษาสูง

ขนุนเห็นแล้วก็รู้สึกใจแป้ว ดูเหมือนในที่นั้นจะมีเขาเพียงผู้เดียวที่ดูต่ำต้อย ไร้สกุลรุนชาติ และไม่มีการศึกษาที่สูงส่งอะไร

‘ช่างไม่เจียมตัวเอาเสียเลยขนุนเอ๋ย ดูสิ มีแต่บุรุษระดับสูงที่คู่ควรกับแม่ดอกแก้วอย่างแท้จริง แกน่าจะรู้ตัวตั้งแต่แรกแล้ว ใครเขาจะมาเลือกคนอย่างแกให้ลูกสาวของเขา โธ่เอ๋ย...คนไม่เจียมตัว’ ขนุนพร่ำว่าตนเอง แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อสมัครเข้ามาแล้วก็ต้องอยู่ให้เสร็จสิ้นการคัดเลือก

เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว เศรษฐีทองคำก็ออกมาป่าวประกาศว่า

“ทุกๆท่านโปรดฟังทางนี้...เรา...เศรษฐีทองคำ แห่งหมู่บ้านทองดี ได้แจ้งความประสงค์ถึงการรับสมัครผู้ที่จะเข้ามาเป็นบุตรเขยของเราไปแล้วว่า ผู้ที่ได้รับการคัดเลือก นอกจากจะได้บุตรสาวแสนสวยของเราไปครอง ยังได้ทรัพย์สมบัติและต้องดำรงตำแหน่งผู้ปกครองของหมู่บ้านแห่งนี้ด้วย ซึ่งอย่างหลังนี้ถือว่าสำคัญที่สุด เพราะเมื่อไม่มีเราแล้ว หัวหน้าหมู่บ้านคนต่อไปจะต้องเข้าถึงชาวบ้านและดูแลพวกเขาได้ดีไม่แพ้เรา ดังนั้นทุกท่านจงบอกถึงความสามารถของท่านให้เราได้รู้ว่า หากท่านเข้ามาเป็นหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว ท่านมีดีอันใดในตัวเอง ที่จะนำมาใช้ดูแลหมู่บ้านนี้ต่อจากข้า ขอจงบอกมาให้ข้ารู้”

ชายอ้วนลูกเศรษฐีหมู่บ้านใกล้เคียง ก้าวออกมาก่อนใครเพื่อน พร้อมกับกล่าวว่า

“ข้ามีเงินทองมากมาย ข้าจะใช้เงินทองของข้าแจกจ่ายชาวบ้านให้อยู่ดีกินดี”

อัศวินผู้กล้า กล่าวต่อเป็นลำดับต่อมาว่า

“ข้าจะปกป้องหมู่บ้านแห่งนี้ด้วยคมดาบในมือข้า แม้นมีผู้ร้ายหน้าไหนเข้ามาก่อกวนความสงบ ข้าก็จะใช้ดาบของข้าบั่นคอมันทันที”

นายวิศวกรมือหนึ่ง กล่าวว่า

“ข้าจะจัดสร้างหมู่บ้านแห่งนี้ให้เป็นหมู่บ้านที่สวยงามที่สุด และพรั่งพร้อมไปด้วยความสะดวกสบายต่างๆนานา”

นายแพทย์หนุ่มที่ได้รับการขนานนามว่า ‘หมอเทวดา’ กล่าวว่า

“ข้าจะใช้ความรู้ทางการแพทย์ของข้า รักษาผู้คนที่เจ็บป่วยในเมือง ให้มีสุขภาพแข็งแรงไร้โรคภัย”

ผู้สมัครต่างกล่าวอ้างถึงคุณสมบัติพิเศษในตัวเองให้เศรษฐีทองคำพิจารณาทีละคนๆ จนกระทั่งมาถึงขนุนในลำดับสุดท้าย

“เรียนท่านเศรษฐี” ขนุนกล่าวอย่างนอบน้อม “ข้าน้อยขนุน เป็นเพียงคนต่ำต้อย ไร้เงินทอง ไร้อำนาจ และขาดการศึกษา ข้าน้อยไม่มีสิ่งใดโดเด่นพอที่จะนำมากล่าวอ้างแกท่านได้ แต่ข้าน้อยกล้ายืนยันว่าตัวข้าน้อยนั้นยึดมั่นความดีเป็นที่ตั้ง และข้าน้อยจะใช้ความดีอันเป็นสิ่งเดียวที่ติดตัวข้าน้อยอยู่ตลอดเวลา มาดูแลความทุกข์ร้อนของชาวบ้านด้วยความเมตตาขอรับ”

เมื่อได้ฟังสิ่งที่ขนุนพูด หลายคนในที่นั้นต่างพากันหัวเราะเยาะ บางคนแกล้งพูดล้อเลียนให้ขนุนได้ยินว่า “ขนุนคนต่ำต้อย...ไม่รู้จักคำว่าเจียมตัวบ้างเลยหรือ”

ในตอนนั้นเอง มีคนรับใช้คนหนึ่งวิ่งลนลานมาบอกแก่เศรษฐีทองคำว่า

“เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับนายท่าน ตอนนี้ชาวบ้านในหมู่บ้านของเรากำลังเดือดร้อนกันถ้วนหน้า เพราะท่อระบายน้ำเสียอุดตัน ทำให้ระบบระบายน้ำขัดข้อง ส่งกลิ่นเน่าเหม็นไปทั่วหมู่บ้านแล้วขอรับ”

เมื่อได้ฟังเหตุร้ายฉุกเฉินนั้น เศรษฐีทองคำจึงอาสาสมัครจากบุรุษในกลุ่มที่มาสมัครเป็นลูกเขยให้ลงไปในท่อระบายน้ำ เพื่อเอาสิ่งอุดตันออก แต่ในท่อระบายน้ำนั้นแสนจะเหม็นเน่าเหลือกำลัง จึงไม่มีใครกล้าเสนอตนลงไปทำงานชิ้นนี้ ต่างคนต่างบ่ายเบี่ยงและอ้างว่างานต่ำต้อยเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ตนถนัด

ขนุนคนต่ำต้อยรอดูท่าทีของบุรุษผู้สูงส่งอยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอาสา ตนเองจึงยกมือขึ้นแล้วบอกแก่ท่านเศรษฐีทองคำว่าจะเป็นผู้ลงไปในท่อระบายน้ำเอง

“แต่ในนั้นเหม็นมากนะ เจ้าหนุ่ม” เศรษฐีทองคำกล่าวหยั่งเชิงขนุน

“ไม่เป็นไรหรอกขอรับ เพราะข้าน้อยนั้นเป็นลูกชาวนาคนยาก เมื่อเกิดมาก็กินอยู่กับกองดินและกองขี้วัวอยู่แล้ว งานแค่นี้ไม่ได้ทำให้ข้าน้อยรู้สึกรังเกียจแต่อย่างใด ข้าน้อยเป็นคนต่ำต้อย จึงไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่จะทำให้ข้าน้อยคิดว่า ตนเองนั้นอยู่สูงเสียจนหยิบจับสิ่งนั้นไม่ได้”

ว่าแล้ว ขนุนก็ลงไปในท่อระบายน้ำแล้วเริ่มค้นหาสิ่งอุดตันที่ทำให้น้ำในท่อไม่ไหล การกระทำของขนุนครั้งนี้อยู่ในดุลยพินิจของเศรษฐีทองคำโดยตลอดและแม้แต่ดอกแก้ว ลูกสาวคนสวยของเศรษฐีเอง เมื่อรู้เรื่องจากสาวใช้ก็รู้สึกชื่นชมในตัวขนุนยิ่งนัก หลังจากนั้นก็ลอบมองขนุนอยู่ตรงหน้าตลอดเวลา

ขนุนใช้เวลาไม่นานก็สามารถนำสิ่งอุดตันออกจากท่อระบายน้ำได้ และทันทีที่เขาขึ้นมากท่อระบายน้ำ ดอกแก้วก็นำพวงมาลัยคล้องคอให้อย่างเขินอาย

“อะ...อะไรกันนี่ แม่ดอกแก้ว” ขนุนตกใจจนพูดติดๆ ขัดๆ “นางคล้องมาลัยผิดคนแล้วล่ะ เพราะข้าไม่ใช่คนที่ท่านเศรษฐีเลือกหรอก”

“ถ้าท่านคือขนุนคนต่ำต้อย ก็เห็นทีว่าคงถูกคนแล้ว เพราะท่านพ่อและแม้แต่ตัวข้าเองก็เห็นว่าท่านสมควรถูกเลือกมากกว่าใครๆ” ดอกแก้วบอกขนุน

ใช่แล้ว” เศรษฐีทองคำพูดขึ้นบ้าง “แม้เจ้าจะเป็นขนุนคนต่ำต้อย แต่การกระทำของเจ้าได้พิสูจน์ให้ข้าเห็นแล้วว่า แท้จริงเจ้านั้นสูงส่งยิ่งกว่าคนร่ำรวย นักรบ หรือแม้แต่ผู้มีการศึกษาดีแต่ไม่สามารถช่วยหมู่บ้านนี้ได้ยามมีภัยเดือดร้อน แท้จริงแล้ว ข้ารู้สึกสรรเสริญในความต่ำต้อยของเจ้าด้วยซ้ำไป เพราะความต่ำต้อยนี้เองทำให้เจ้าไม่เกี่ยงงานหนักดังคนที่คนคิดว่าตนเองสูงส่ง ทำให้ชาวบ้านรอดพ้นจากความยากลำบาก ดังนั้น เจ้าจึงเหมาะที่จะเป็นลูกเขยข้า และเป็นผู้นำหมู่บ้านแห่งนี้ สืบต่อไป”

สิ้นเสียงประกาศของเศรษฐีทองคำ ชาวบ้านทุกคนก็พากันโห่ร้องแสดงความยินดีต้อนรับว่าที่หัวหน้าหมู่บ้านคนใหม่ เพราะซึ้งน้ำใจขนุนคนต่ำต้อย ผู้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ไม่รังเกียจงานต่ำต้อย จนช่วยให้ชาวบ้านรอดพ้นความเดือดร้อนในครั้งนี้

เธอทั้งหลาย...

แม้เธอจักเป็นคนต่ำต้อยในสายตาของใครๆ แต่จงอย่าทำตัวเองให้ต้อยต่ำตามความคิดของเขา เพราะแม้เธอจะเป็นคนต่ำต้อย แต่เธอมิใช่คนไร้คุณค่า ซึ่งคุณค่าในตัวเธอนั้น จะปรากฏชัดเมื่อเธอกระทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากกว่าส่วนตน จากนั้นคนอื่นๆก็จะประจักษ์ชัดเองว่า แท้จริงแล้วเธอคือคนที่น่าสรรเสริญ มิใช่คนต่ำต้อยอย่างที่เขาเข้าใจในตอนแรก

หรือแม้แต่เธอทั้งหลายถูกยกย่องว่าเป็นผู้สูงส่ง ก็จงอย่ารังเกียจงานที่ต่ำต้อย ถ้างานนั้นจะสร้างประโยชน์ให้แก่คนหมู่มาก จงคิดถึงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ แล้วเธอจะเป็นคนที่สูงส่งได้อย่างแท้จริง



  • พลังน้ำใจ: 15
ตอบกลับ #3 13 กันยายน 2009, 00:42:37น.
------------------------------------------- ความทะนงตัวของแมลงวัน -------------------------------------------

แมลงวันตัวหนึ่งไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง มันเที่ยวบินเร่ร่อนหาของกินไปทั่ว และไม่ได้คิดถึงอะไรมากนัก นอกจากคิดว่า ตนเองมีความสุขสบายดีแล้วที่มีชีวิตแบบนี้ เพราะเป็นผู้ไม่มีภาระและไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย

วันหนึ่งในฤดูร้อน แมลงวันตัวนี้บินเตร็ดเตร่ไปหาของกินทางทิศเหนือพบฝูงมดง่ามฝูงหนึ่งกำลังขนอาหารไปสู่รังอย่างขะมักเขม้น แมลงวันเฝ้าสังเกตเหล่ามดง่ามอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน มดง่ามตัวหนึ่งได้ยินดังนั้น จึงเงยหน้าขึ้นมองแล้วถามแมลงวันว่า

"มีใครในหมู่พวกเรา ทำให้ท่านขบขันถึงปานนั้นหรือ"

"อ้อ...หามิได้หรอกท่าน" แมลงวันร้องบอก "ข้ามิได้ขบขันผู้ใดผู้หนึ่งในหมู่ท่าน แต่ข้าพเจ้ารู้สึกเวทนาในชะตาชีวิตของพวกเจ้ามากกว่า"

"เวทนาเพราะสิ่งใดเล่า" มดง่ามถาม

"เวทนา เพราะพวกท่านต้องทำงานอยู่ตลอดเวลาจึงจะมีอาหารประทังชีวิต ผิดกับตัวข้าพเจ้าที่ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่สามารถหาอาหารมาปรนเปรอกระเพาะได้ตลอดเวลา" แมลงวันตอบอย่างเยาะหยัน

"ชะตาชีวิตของพวกเราทำให้ท่านรู้สึกอย่างนั้นหรือ...ผิดแล้วล่ะ ท่านต้องคิดกลับกันต่างหาก เพราะการทำงานอย่างขยันขันแข็ง ทำให้ชีวิตของพวกเรามีคุณค่าเป็นที่ประจักษ์ทั้งตัวเราเองและผู้อื่น แต่ข้าพเจ้าก็พอเข้าใจอยู่หรอกว่า สำหรับท่านซึ่งทำตนเสมือนอยู่ไปวันๆ นั้นคงไม่รู้จักคุณค่าที่แท้จริงของผู้อื่นหรอก เพราะแม้แต่ตัวท่านเอง ยังทำตนให้เกิดคุณค่าใดๆ มิได้เลย" มดง่ามพูด

แมลงวันเมื่อได้ยินมดง่ามกล่าวดังนั้น ก็รู้สึกขุ่นเคืองใจเป็นอย่างมาก ด้วยคิดว่ามดง่ามนั้นช่างไม่รู้สำนึกตน จึงได้พูดจากลบเกลื่อนความต่ำต้อยของตนเอง และกล่าวแดกดันแมลงวันออกมาเช่นนั้น มันจึงชูคอขึ้นด้วยความหยิ่งผยองราวกับว่าตนคือพญาอินทรี แล้วกล่าวต่อไปว่า

"มดง่ามเอ๋ย...ตัวท่านนั้นหาได้มีดีดังว่าไม่ และตัวข้าพเจ้าก็ไม่ได้เป็นดังเช่นคำพูดท่านด้วย ลองคิดดูสิ ระหว่างท่านกับข้าพเจ้านั้น ใครเล่าคือผู้ยิ่งใหญ่และถือครองบุญวาสนากว่ากัน ข้าพเจ้าจะบอกอะไรบางอย่างแก่ท่าน ซึ่งท่านอาจจะไม่เคยรู้เลยว่า ตัวข้าพเจ้าสามารถบินวนไปรอบๆ ที่บูชา และข้าพเจ้าก็เที่ยวดั้นด้นไปทั่วทุกวิหารของเทพเจ้ามาแล้ว นอกจากนั้น ข้าพเจ้ายังเป็นผู้แรก ที่ได้มีโอกาสลิ้มรสเครื่องในตับไตไส้พุงของเครื่องเซ่นสรวงในวิหารเหล่านั้น...

"ท่านรู้หรือไม่ เมื่อข้าพเจ้ามองเห็นเศียรของกษัตริย์ ซึ่งเป็นเจ้าเหนือหัวของผู้คนทั่วแผ่นดินนั้น ข้าพเจ้าสามารถบินร่อนลงไปเกาะได้ในไม่ช้า...

"นอกจากนั้น ข้าพเจ้ายังทำในเรื่องที่บุรุษทุกคนต้องอิจฉา เพราะข้าพเจ้าสามารถจุมพิตริมฝีปากสาวบริสุทธิ์ทุกคนได้ตามที่ต้องการ ซึ่งเป็นสิ่งที่บุรุษทั่วไปไม่อาจกระทำได้ตามอำเภอใจ...

"และสุดท้าย ข้าพเจ้าขอย้ำให้ท่านฟังอีกครั้งหนึ่งว่า ข้าพเจ้านั้น ไม่ต้องดิ้นรนทำงาน แต่ก็มีชีวิตที่โอ่อ่าหรูหราได้อย่างง่ายดาย ซึ่งหากเปรียบกับตัวท่าน ผู้ที่ฟันยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมแล้ว ข้าพเจ้าก็คิดว่าไม่มีสิ่งใดหรอกที่จะนำมาเทียบกันได้"

มดง่ามนิ่งฟังอย่างสงบ แล้วตอบว่า

"แน่ทีเดียว ท่านแมลงวัน...เราต้องภาคภูมิใจเมื่อได้รับประทานอาหารกับเทพเจ้า แต่ก็ต่อเมื่อได้รับการเชื้อเชิญอย่างยินดี ไม่ใช่ถือตนเข้าไปเองโดยไม่มีการต้อนรับ แล้วท่านเล่า เคยได้รับการเชื้อเชิญแบบนั้นหรือไม่..."

"ท่านเคยได้ไปเยือนสถานที่บูชาอย่างนั้นหรือ? อาจเป็นเช่นนั้นได้ แต่ท่านก็ถูกขับไล่ออกมาอย่างรวดเร็ว มิใช่หรือ..."

"ท่านพูดถึงพระเศียรของกษัตริย์ และริมฝีปากของหญิงสาว แต่ทั้งสองเป็นสิ่งที่ควรปกปิดจากการสัมผัส และแม้แต่เด็กยังรู้ว่าต้องให้ความเคารพ และปฏิบัติกับสิ่งเหล่านั้นอย่างให้เกียรติ แต่ท่านเล่า เหตุใดจึงทำการล่วงละเมิดเช่นนั้นอยู่เป็นนิจ หรือในชีวิตของท่าน ไม่เคยรู้จักกับกาลเทศะและความสงบเสงี่ยมเลย..."

"ท่านไม่ทำงานเลยหรือ? ใช่แล้ว เพราะเช่นนี้อย่างไรเล่า ท่านจึงต้องขาดแคลนบ่อยๆ ด้วยเหตุนี้เอง ขณะเมื่อข้าพเจ้าทำงานเก็บไว้กินในฤดูหนาว ข้าพเจ้าเคยแลเห็นท่านเที่ยวหากินตามกองขยะ และสิ่งปฏิกูลใกล้ๆ กำแพงเมือง ซึ่งต้องเสี่ยงเผชิญกับความหนาวเย็นที่อาจจะทำให้ท่านตายได้ทุกเมื่อ..."

"และนั่นคือเหตุผลที่ว่า เหตุใดข้าพเจ้าและเพื่อนๆ จึงต้องทำงานกันอย่างหนักในตอนนี้ เพราะอาหารที่พวกเรากำลังขนเข้าไปในรัง จะกลายเป็นเสบียงอาหารชั้นดี ที่ช่วยให้พวกเราอยู่รอดตลอดหน้าหนาวนั้น โดยที่ไม่ต้องออกไปเสี่ยงภัยหนาวอยู่ข้างนอก..."

"แล้วตัวท่านเล่า ในเมื่อฤดูหนาวไม่ทำงาน เที่ยวมาคอยรบกวนการทำงานของข้าพเจ้า ฤดูหนาวท่านก็ต้องทนจับเจ่าหลบลมหนาว หาความปลอดภัยให้แก่ชีวิตไม่ได้เป็นธรรมดา ข้าพเจ้าคิดว่า เท่าที่ข้าพเจ้าพูดมานี้ ก็พอจะลดความหยิ่งผยองของท่านได้มากแล้ว"

กล่าวจบมดง่ามก็ละความสนใจจากแมลงวันแล้วกลับเข้ากลุ่มมด เพื่อทำงานตามหน้าที่ตนเองอย่างแข็งขันต่อไป

ส่วนแมลงวันนั้นรู้สึกเสียหน้าอย่างมาก มันรีบบินออกไปไกลจากฝูงมด และไม่เคยกลับมาทางนี้อีกเลย

.............................................. เธอทั้งหลาย .......................................................

จงอย่าดูแคลนว่าผู้อื่นต้อยต่ำ แล้วทะนงตนเองว่าสูง เพียงเพราะเห็นว่า ตัวเองมั่งมีสุขสบายกว่าเขา เพราะนั่นเป็นเพียงเปลือกนอกที่ฉาบฉวยเกินกว่าจะเอามาตัดสินคุณค่าชีวิตของใครคนใดคนหนึ่งได้

รู้ไว้เถิดว่า สำหรับคนที่สูงส่งจริงๆ แล้ว เขามักจะอยู่อย่างเจียมตน และไม่อวดอ้างหรอกว่าตนเองอยู่เหนือกว่าผู้อื่น เนื่องจากคนที่สูงส่งที่แท้จริงย่อมทำตนเองให้มีคุณค่ามากพอ จนเกิดความรู้สึกอิ่มเอมในชีวิต และไม่จำเป็นต้องยกตนเพื่อไปเปรียบเทียบ หรือคุกคาม ข่มเหงใครๆ เพียงเพราะต้องการให้ตนเองดูยิ่งใหญ่กว่าผู้อื่น เพราะผู้ที่ทำเช่นนี้ไม่ใช่คนที่สูงส่งอะไร...แต่เป็นคนต่ำต้อยที่อยากให้ใครๆ รู้ว่าตนเองสูงส่งเท่านั้น



  • พลังน้ำใจ: 15
ตอบกลับ #4 13 กันยายน 2009, 00:51:06น.

ชายพิการผู้มีหัวใจร่าเริง

ชายคนหนึ่งเคยมีชีวิตที่สะดวกสบาย เขาเคยมีบ้านหลังใหญ่โต มีรถขับหลายคัน มีบริวารมากมายรายล้อม ปรนเปรอชีวิตตนเองด้วยความหรูหราฟู่ฟ่าตลอดมา บัดนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ธุรกิจที่เคยสร้างกำไรอย่างงามของเขาล้มละลายหมดสิ้น ชายคนนี้กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว เขาไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว นอกจากลูกสาวตัวเล็กๆ สุดที่รักเพียงคนเดียว

เมื่อแรกที่ต้องสูญเสียสมบัตินอกกายไป ชายผู้นี้คิดจะฆ่าตัวตายเพื่อให้พ้นความอับอายและหลีกหนีความเป็นอยู่ในปัจจุบันที่เขาไม่คุ้นชิน แต่เมื่อเขาเงื้อมีดขึ้นเพื่อปลิดชีวิตตนเอง ใบหน้าน้อยๆ น่าเอ็นดูของลูกสาววัยห้าขวบก็ปรากฏขึ้นในจิตใจ แม่ของเด็กตายจากไปนานแล้ว ลูกสาวมีเพียงเขาเป็นที่พึ่งสุดท้าย หากเขาเป็นอะไรไปแล้วลูกจะอยู่กับใคร ด้วยความคิดที่ผุดขึ้นมานี้ ทำให้เขาทิ้งมีดในมือทันทีและไม่คิดฆ่าตัวตายอีก แต่ก็ใช้ชีวิตด้วยความหมองเศร้ายิ่งกว่าเดิม

วันหนึ่งลูกสาวของเขากลับมาจากโรงเรียน เธอวิ่งเข้ามาหาพ่อแล้วโอบกอดด้วยความรักใคร่ พ่อของเด็กกอดตอบและฝืนยิ้มให้ลูกสาวอย่างยากเย็น

"พ่อยิ้มแบบนี้ทุกวันเลย พ่อยิ้มแบบนี้ลูกไม่ชอบ สู้ไม่ยิ้มเลยยังจะดีเสียกว่า" เด็กหญิงบอกกับพ่อเธอพลางใช้มือน้อยๆ บีบปากผู้เป็นพ่อเบาๆ

"ทำไมล่ะลูก" พ่อถามอย่างสงสัย

"ก็พ่อยิ้มแบบนี้แล้วหน้าของพ่อเหมือนจะร้องไห้ ลูกเลยไม่ชอบ ลูกไม่อยากให้พ่อร้องไห้" เด็กหญิงตอบ

ผู้เป็นพ่อหัวเราะเยาะกับชะตากรรมของตนเอง ก่อนจะบอกลูกสาวว่า "ที่จริงแล้ว พ่อก็อยากร้องไห้เหมือนกันล่ะลูก"

"ทำไมพ่อต้องอยากร้องไห้ด้วย" เด็กหญิงขมวดคิ้ว

"แล้วลูกไม่อยากร้องไห้หรือ" พ่อของเด็กย้อนถาม

"ร้องไห้ทำไมลูกไม่ได้เศร้าอะไรนี่ ลูกมีคงวามสุขดีจ้ะพ่อ "เด็กหญิงตอบยิ้มๆ

"มีความสุขหรือ" ผู้เป็นพ่อเอ่ยอย่างแปลกใจ "จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไน ในเมื่อพ่อทำให้ชีวิตลูกลำบากถึงเพียงนี้ ลูกไม่มีห้องนอนสวยๆ เหมือนก่อน ไม่มีที่วิ่งเล่นกว้างๆ ไม่มีคนขับรถไปรับไปส่งโรงเรียน ไม่มีเสื้อผ้าสวยๆ ใส่ ไม่มีอาหารดีๆ กิน แล้วอย่างนี้ลูกจะมีความสุขได้อย่างไรกัน"

"ลูกมีความสุขเพราะลูกมีพ่อ เมื่อก่อนตอนเราร่ำรวยนั้น พ่อไม่เคยอยู่ที่บ้านของเราเลย ตอนนี้เราไม่มีบ้านแล้ว แต่ลูกได้พ่อคืนมา ลูกถึงมีความสุขอย่างไรล่ะจ๊ะ" เด็กหญิงตอบอย่างชื่นบาน

ผู้เป็นพ่อนิ่งไปครู่หนึ่งกับคำตอบของลูกสาว ก่อนจะพูดขึ้นอีกว่า "แต่พ่ออยากทำชีวิตของเราให้ดีกว่านี้ พ่ออยากให้ลูกมีอนาคต อย่างน้อยลูกก็ควรจะได้เรียนสูงๆ"

"พ่อทำได้นี่ ไม่ยากหรอกจ้ะ สำหรับพ่อของลูก" เด็กหญิงว่าอย่างไร้เดียงสา

"พ่อ...ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร พ่อไม่เหลือทุนให้กับธุรกิจใหม่อีกแล้ว พ่อละอายใจเหลือเกิน" ผู้เป็นพ่อคร่ำครวญ

"มีคุณลุงคนหนึ่งอยู่ข้างๆ โรงเรียนของหนู เขาเป็นคนที่ทำงานเก่งมากแล้วใจดีด้วย เวลาใครไม่สบายใจแล้วไปหาเขา เขาก็จะช่วยให้คนๆ นั้นสบายใจ พ่อลองไปหาเขาสิจ๊ะ" เด็กหญิงว่า

"คนทำงานเก่งๆ มักยุ่งอยู่ตลอดเวลา เขาคงไม่มีเวลาคุยกับพ่อหรอก เพราะต้องออกไปติดต่อธุระนอกบ้านบ่อยๆ" ผู้เป็นพ่อกล่าว

"ไม่จ้ะ คุณลุงคนนี้อยู่แต่ในบ้าน และไม่มีวันออกไปไหน" เด็กหญิงบอกพ่อของเธอ ตอนนั้นเองมีเด็กข้างห้องเช่ามาเคาะประตูเรียกให้เด็กหญิงออกไปเล่นด้วยกัน เด็กหญิงจึงเอากระเป๋านักเรียนไปเก็บ ก่อนจะวิ่งออกไปเล่นข้างนอก ทิ้งพ่อของเธอให้ครุ่นคิดในเรื่องดังกล่าวด้วยความสนใจ

‘ถ้าคนๆ นี้ทำให้เด็กห้าขวบสนใจในตัวเขาได้ และถึงกับแนะนำเราให้เราไปหา เขาก็น่าจะมีอะไรพิเศษในตัวเองอยู่เหมือนกัน งั้นเราจะลองไปดูก็ได้’ ผู้เป็นพ่อคิดในใจ

เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากส่งลูกเข้าโรงเรียนแล้ว ชายผู้นี้จึงไปเดินหาบ้านของชายดังกล่าวตามที่ลูกสาวของเขาบอก ไม่นานเขาก็เจอบ้านของคนๆ นั้น ซึ่งดูภายนอกก็เป็นบ้านขนาดกะทัดรัดธรรมดาๆ หลังหนึ่งเท่านั้น

ชายผู้นี้รู้สึกลังเลใจ นี่ลูกสาวของเขาพูดจริงหรือล้อเขาเล่นกันแน่ คนที่ทำงานเก่งก็น่าจะอยู่ในบ้านที่ใหญ่โตโอ่อ่ามิใช่หรือ

ขณะนั้นเองมีหญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีคนหนึ่งเดินมาที่รั้วหน้าบ้านแล้วถามเขาว่าต้องการพบใคร ชายผู้นี้จึงเล่าเรื่องที่ได้รับรู้มาจากลูกสาวของตนให้หญิงคนนั้นฟัง เธอฟังอย่างสงบแล้วยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเปิดประตูรั้วเชื้อเชิญให้เขาเข้ามาในบ้านอย่างมีไมตรี

"คนที่คุณต้องการพบ คงจะหมายถึงสามีของดิฉันนะคะ" เธอบอกในขณะเดินนำเขาเข้าสู่ตัวบ้าน "กรุณานั่งรออยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะเข้าไปบอกสามีของดิฉันให้ ไม่ทราบว่าเขากำลังทำงานอยู่รึเปล่านะค่ะ" แล้วเธอก็เดินหายไปในห้องๆ หนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ กันกับห้องรับแขก

แต่เขาไม่ได้นั่งรอตามคำเชิญ เพราะมีบางสิ่งเบนความสนใจของเขาไปแล้ว ชายผู้นี้เดินไปจับจ้องดูสิ่งของในตู้กระจกใบหนึ่ง ซึ่งในนั้นมีเกียรติบัตรสีทองตั้งตระหง่านบอกความสามารถของเจ้าของ ชายผู้นี้ได้อ่านข้อความในเกียรติบัตรนั้นทีละคำ

"เกียรติบัตรฉบับนี้ มอบให้เพื่อเป็นเกียรติแด่ตัวแทนบริษัทประกันชีวิต ซึ่งทำยอดขายประกันได้เป็นอันดับหนึ่งติดต่อมาถึงสามสมัยซ้อน"

จากนั้นเขาก็กวาดตาอ่านเกียรติบัตรฉบับอื่นๆ อีกมากมายที่ตั้งอยู่ในตู้ใบนั้น ซึ่งล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นความสามารถทางการขาย และความก้าวหน้าในอาชีพการงานของเจ้าของเกียรติบัตรเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี

"นั่นเป็นผลงานของสามีดิฉันค่ะ" ภรรยาเจ้าของบ้านเดินมากล่าวแก่เขาด้วยใบหน้ายิ้มละไม

"โปรดอภัยด้วยที่ผมทำเหมือนละลาบละล้วงมากไปสักหน่อย" ชายผู้นี้กล่าวอย่างเก้อเขิน

"ไม่ได้เป็นการละลาบละล้วงอะไรเลยค่ะ เชิญคุณเข้าไปหาสามีดิฉันเถอะ เขาอยากคุยกับคุณค่ะ"

ชายผู้นี้กล่าวคำขอบคุณแก่ภรรยาเจ้าของบ้าน ก่อนจะเดินเก้ๆ กังๆ เข้าไปในห้องของสามีเธอ

เขาคาดว่าห้องนั้นน่าจะเป็นห้องทำงาน ที่มีเอกสารทางธุรกิจมากมายวางสุมอยู่ แต่ไม่ใช่เลย เพราะห้องนี้เป็นเพียงห้องนอนธรรมดาๆ และมีชายพิการคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงเท่านั้น

"เอ่อ..." ชายผู้นี้ไม่รู้จะพูดอะไรดี เขารู้สึกมึนงงกับสถานการณ์ตรงหน้า แต่ดูเหมือนว่าชายพิการจะเข้าใจอะไรๆ ได้ดีมากทีเดียว เขามองผู้มาเยือนแล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ก่อนเชื้อเชิญให้ชายคนนั้นนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งซึ่งวางอยู่ข้างๆ เตียงเขา

"ผมได้ข่าวจากลูกสาวว่า...ไม่รู้สิ เธอบอกว่าคุณทำงานเก่งมาก เลยลองให้ผมมาขอคำปรึกษาจากคุณดู...แต่..." ชายผู้มาเยือนกล่าวอย่างติดๆ ขัด เขาชักไม่แน่ใจ...เป็นการยากที่จะเชื่อว่า คนพิการคนนี่คือคนทำงานเก่งอย่างที่ลูกสาวของเขาว่า และยากที่จะเชื่อว่าเกียรติบัตรทั้งหมดในตู้ที่ห้องรับแขกนั้น เป็นของชายพิการคนนี้ หรือเขาจะได้ของเหล่านี้มาตอนที่ยังปกติดี...ใช่แล้ว น่าจะเป็นเช่นนั้นแหละ

"ผมเป็นอย่างนี้มานานแล้วล่ะ เป็นโรคประหลาดที่หาสาเหตุไม่ได้" ชายพิการกล่าวเสมือนอ่านความคิดของชายผู้นี้ได้ "หลายสิบปีมาแล้ว วันหนึ่งผมตื่นขึ้นมาพบว่าขาของผมแข็งทื่อจนขยับไม่ได้ แม้รักษาอย่างไรก็ไม่หาย ต่อมาอาการแข็งทื่อก็ลุกลามมาถึงเอว ลำตัว และมือของผม จนในที่สุดผมก็เคลื่อนไหวไปไหนไม่ได้ ต้องนอนแช่อยู่แต่บนเตียงอย่างที่คุณเห็นนี่แหละ"

"คุณเป็นตัวแทนขายประกันด้วยหรือ" ชายผู้นั้นถามอย่างไม่แน่ใจ

"ใช่ ผมทำงานขายประกัน หลังจากเป็นแบบนี้ผมก็ต้องออกจากที่ทำงานเก่า แล้วเริ่มทำงานขายประกัน ซึ่งผมว่าผมก็ทำได้พอใช้นะ" ชายพิการตอบยิ้มๆ

"ไม่หรอกครับ ผมว่าคุณทำได้ดีมากทีเดียว แต่คุณขายประกันมากมายอย่างนั้นได้อย่างไรกัน ในเมื่อคุณไปไหนมาไหนไม่ได้ คงไม่มีใครมาหาคุณเพื่อขอซื้อประกันถึงบ้านหรอกนะ" ชายผู้มาเยือนถามอย่างแคลงใจ

"ดูเหมือนว่า คุณจะสงสัยในตัวผมมากทีเดียว...ถูกแล้วครับ ไม่มีใครมาหาผมถึงที่นี้หรอก และถึงแม้ผมจะไปไหนมาไหนไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องนอนมองเพดานอย่างเดียวเสียเมื่อไร ถึงผมจะพิการแต่หัวใจผมยังแข็งแรงดี ผมจึงคิดที่จะทำนั้นทำนี่แม้ว่าตัวเองจะเคลื่อนไหวไม่ได้" พูดจบชายพิการก็ทำหน้าพยักเพยิดไปทางโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้ๆ หัวเตียง "ผมใช้โทรศัพท์นี่คุยติดต่อกับลูกค้า โดยให้ภรรยาช่วยถือหูให้ ซึ่งลูกค้าของผมก็ยินดีที่จะติดต่อกับผมด้วยวิธีนี้ เพราะฉะนั้นอะไรๆ มันก็เลยง่ายขึ้น

"ทำไมคุณต้องดิ้นรนตัวเองขนาดนี้ คุณไม่สบาย หากคุณเอาแต่นอนก็ไม่มีใครว่าอะไรคุณหรอก" ชายผู้มาเยือนว่า

"ผมยังเชื่อมั่นในสมองของผม คุณคิดว่าคนเรามีชีวิตอยู่ได้เพราะกำลังกายหรือ...เปล่าเลย คนเราอยู่ได้เพราะกำลังใจ แม้จะมีแขนขาที่กำยำล่ำสันเพียงไร แต่ถ้าไร้กำลังใจ แขนขานั้นก็ไร้ความหมาย ผมเป็นอย่างนี้ใช่ว่าไม่เคยเสียใจ แต่ถ้าเอาแต่เสียใจก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีขึ้น ดังนั้นผมจึงคร้านที่จะเสียใจ ผมว่าผมสู้ดีกว่า...คุณดูกระดาษที่ติดอยู่บนหัวนอนผมสิ" ชายพิการเหลือบตามองขึ้นไปทางผนังเหนือหัวเตียงของเขา มีกระดาษแผ่นหนึ่งติดอยู่อย่างง่ายๆ "นั่นคือคติพจน์ในการมีชีวิตอยู่ของผม ผมเขียนขึ้นด้วยกำลังใจของผมเอง คติพจน์ข้อแรกคือ อย่าวิตกกังวล และข้อสองคือ ถึงป่วยไข้ก็อย่าหมดกำลังใจ"

"คุณเป็นคนน่าอัศจรรย์มาก" ผู้มาเยือนกล่าวด้วยความทึ้งระคนชื่นชม

"ขอบคุณครับ แต่ผมคงต้องขอบคุณภรรยาของผมและลูกสาว ซึ่งเป็นครูอนุบาล รวมทั้งเด็กๆ จากโรงเรียนของเธอด้วยที่แวะมาเยี่ยมเยียนผมบ่อยๆ เพราะเด็กๆ ได้มอบความเบิกบานให้แก่ผมเป็นอย่างมาก ผมคิดว่าผมรู้จักลูกสาวของคุณนะ แกมาที่นี้กับลูกสาวของผมบ่อยๆ และแม่หนูน้อยนั้นก็หน้าตาเหมือนคุณมาก คุณเป็นพ่อที่เลี้ยงลูกได้ดี เพราะแกเป็นเด็กที่น่ารัก อยู่เพื่อแกเถอะ ขอให้ใช้ชีวิตต่อไปนี้เพื่อแก

"แต่ถ้าคุณท้อแท้ให้นึกถึงผม ตัวผมนั้นไม่เคยท้อถอยโดยเหตุที่ใช้มือไม่ได้เลย แน่นอนว่าสิ่งที่ผมเป็นอยู่นี้ทำให้ผมทำงานไม่ได้ และยิ่งลำบากมากในการติดต่อธุรกิจการงาน แต่ถ้าเราสู้ต่อไป และค่อยๆ คิดหาวิธีแก้ไขสิ่งบกพร่องนี้ เราก็จะทำอะไรได้ตามที่ตั้งใจไว้...ถ้าคุณจำต้องเสียอะไรไปและเอาคืนกลับมาไม่ได้ ก็ช่างมันเถอะ แต่อย่ายอมเสียหัวใจที่ร่าเริงเด็ดขาด เพราะหัวใจที่ร่าเริงจะไม่ยอมให้เจ้าของมันล้มเหลวหรอก เชื่อผมสิ" ชายผู้พิการกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

แน่นอนว่าชายผู้นี้เดินออกจากบ้านของชายพิการด้วยกำลังใจที่เปี่ยม เขายังคงไม่มีเงินทุนสำหรับเริ่มธุรกิจ แต่มีแรงสู้เพิ่มขึ้นเต็มหัวใจ ชายผู้นี้เชื่อว่าด้วยแรงใจที่เต็มเปี่ยมนี้ จะทำให้เขาสามารถสร้างชีวิตใหม่ให้ดีขึ้นได้ ดังที่ชายพิการผู้มีหัวใจร่าเริงได้บอกเอาไว้นั่นเอง

...............เธอทั้งหลาย..................

ในสังคมที่มนุษย์ต้องแก่งแย่งแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายนี้ เรามักจะเห็นผู้พ่ายแพ้เกิดมามากกว่าผู้ชนะเสมอ ดังนั้น หากทั้งชีวิตของเธอจะต้องพบกับความพ่ายแพ้บ้างครั้งสองครั้ง ก็ไม่เห็นจะเป็นไร...ในเมื่อสมองและหัวใจเธอยังดีอยู่ เธอจะกลัวความพ่ายแพ้ไปทำไมกัน

สำหรับชายพิการคนนี้ เขาเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับพวกเราทุกคน หากแม้นว่าชายคนนี้ยังมีใจร่าเริงได้ ทั้งๆ ที่ตัวเองพิการไร้มือไร้เท้า แล้วเราจะมีข้อแก้ตัวอันใดมาคร่ำครวญถึงความไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่กันเล่า...

เธอรู้จักใครบ้าง ที่พร่ำบ่นเพราะเขาไม่ได้รับประทานอาหารเช้าอย่างที่เขาต้องการ ใครบ้างที่หงุดหงิดอยู่นั่นแล้วเวลาที่ตนเองเป็นหวัด เวลาที่ไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่น เวลาที่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ เวลาที่ไม่พอใจในสิ่งที่เขาเป็น หรือแม้แต่เวลาที่เขาเป็นทุกข์เพราะเรื่องเดิมซ้ำๆ ซากๆ อยู่ตลอดเวลา...

หากเธอรู้จักคนๆ นั้น ก็จงเล่าเรื่องชายพิการผู้มีหัวใจร่าเริงให้เขาฟังเถิด

หวยซอง เลขเด็ด อภิโชควิเคราะห์เลขรวย หวยรัฐบาล : Apichoke.net

Re: นิทานสีขาว
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 13 กันยายน 2009, 00:51:06น. »

  • พลังน้ำใจ: 15
ตอบกลับ #5 13 กันยายน 2009, 00:55:21น.
  เรื่องสองพี่น้อง
                มีครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่งมีลุกชายสองคน ทั้งสองเป็นพี่น้องที่รักกันมากจนกระทั้งพ่อแม่แก่เฒ่าและสิ้นอายุขัยไปสองพี่น้องจึงแยกย้ายกันไปสร้างครอบครัวของตนเอง แต่ก้ยังปลูกบ้านที่ในหมู่บ้านเดียวกัน และไปมาหาสู่และรักใคร่กันเสมอ สองพี่น้องยังคงยึดอาชีพชาวนาปลูกข้าวเลี้ยงชีพเช่นเดียวกับพ่อแม่และใช้ชีวิตสันโดษพอเพียง แม้จะไม่มีเงินทองรำรวยอะไรแต่ก็มีความสุขตามอัตภาพมิได้ลำบากยากแค้นอะไรนัก  อยู่มาปีหนึ่ง ชาวนาคนพี่ทำนาได้ข้าวมากกว่าทุกๆปี จึงมีจัยคิดเผื่อแผ่ไปถึงน้องชายเขากล่าวกับภรรยาของตนในเย้นวันหนึ่งว่า "เธอจะว่าอย่างไร หากฉันจะเอาข้าวที่เราเก้บเกียว
ได้ในปีนี้ไปแบ่งให้น้องชายของฉันบาง" "ทำไม่หรอกจ๊ะ นาของน้องชายได้ข้าวไม่ดีนักหรือ ภรรยาของชาวนา ผู้พี่เอ่ยถาม "เปล่าหลอกจ้า นาของน้องชายฉันก็ให้ร่วงดีไม่แพ้ของเราหรอก แต่ฉันเห็นว่าครอบครัวของเข้ามีหลายปากท้องให้ต้องเลี้ยงดู ทั้งตัวเขา เมียเขาและลูกเล็กๆๆอีกหลายคน ส่วนเรานั้นมีกันแค่สองผัวเมีย ชึ่งฉันคิดว่าเพียงข้าวไม่กี่กระสอบก็น่าจะทำให้เราสองคนอิ่มท้องไปจนถึงปีหน้าได้ ชาวนาผู้พี่กล่าวต่อภรรยา  อืม.ฉันเห็นด้วยจ้ะ น้องชายของเธอก้มีนำใจกับเราสองคนเสมอมา เมื่อมีผักผลไม้ดีๆ เกิดขึ้นในไร่ของเขา เขาก็นำมาให้เราทุกครั้ง เมื่อเรามีข้าวมากจนเหลื่อกิน เธอก็แบ่งไปให้ครอบครัวของน้องชายเธอบ้างเถิดจ้ะ เมื่อภรรยาสบันสนุน เป้นอย่างดีเช่นนั้น ชาวนาผู้พี่ก็จัดการบรรจุข้าวลงกระสอบขนาดใหญ่ แล้วรอจนมืดค่ำจึงคอ่ยแบกกระสอบข้าวกระสอบนั้นไปยังบ้านของน้องชาย  และทิ้งกระสอบข้าวไว้ข้างนอกประตูบ้านอย่างเงียบเชียบ ที่ต้องทำอย่างนั้นเพราะชาวนาผู้พี่เกรงว่า น้องชายอาจจะปฎิเสธข้าวของเข้าเพราะเกรงใจก็เป็นได้  วันรุ้งขึ้น เมื่อชาวนาผู้พี่เข้าไปนับกระสอบข้าวที่เหลือในยุ้งเขาต้องปรหลาดใจเพราะปรากฏว่ กระสอบข้าวยังมีจำนวนเท่าเดิม "เอ. เมื่อคืนเรานำข้าวไปให้น้องหนึ่งกระสอบ แล้วทำไม่ข้าวเราจึงเหลืออยู่เท่าเดิม หรือว่าเรานับผิด ถ้างันเราเอาข้าวไปให้น้องสักหนึ่งกระสอบแล้วกัน พี่ชายผู้พี่บอกกับตัวเอง คืนวันนั้นเข้าก็เอาข้าวอีกกระสอบไปให้น้องชาย แต่พอเช้ามา เมื่อเขาเข้าไปนับก็ปรากฏว่าข้าวยังคงเหลือเท่าเดิมเหมื่อนครั้งแรก
เอ๊ะ! จะให้เชื่ออย่างไรนี้" ชายผู้พี่ร้อง" ถ้าอย่างงันเราก็ต้องเอาข้าวไปให้น้องเราอีกกระสอบนึ่ง" คืนนั้นชาวนาผู้พี่จึงแบกกระสอบข้าวไปบ้านน้องชายอีกหนึ่งกระสอบ เป็นรอบที่สาม
 แสงจัทร์สองแสงเจิดจ้าในคืนวันนั้น ชายผู้พี่มองเห็นร้างของใครคนหนึ่งที่กำลังแบกกระสอบข้าวตรงมาที่เข้า ชายผู้พี่เขม่งตามองอีกครั่ง นั้นก็คือน้องชายของเขานั้นเอง ชาวนาผู้พี่และชาวนาผู้น้องต่างหยุดวางกระสอบข้าวลงบนพื้น แล้วมองหน้ากันอย่างงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วทั้งสองร้องขึ้นมาพร้อมกันว่า เอ๊ะ! พี่เองเหลอที่เอาข้าสมาว่างไว้หน้าบ้านของฉันน่ะ" อ๊ะ"แก่เองเหลอน้องรักที่เอาข้าวมาวางไว้ใน
ยุ้งของของพี่ทุกคืน แล้วทั้งสองก็พากันหัวเราะด้วยความขบขันต่างคนต่างก็รู้สึกรักและผูกพันกับอีกคนมากขึ้น โดยไม่ต้องพูดอะไรมากไปกว่านั้นอีกแล้ว
                       เธอทั้งหลาย...เขาอาจจะมีความรักของความเป็นพี่น้องอยู่แล้วแต่ความเอื้อเฝื้อไม่จำเป็นจะทำกับพี่เสมอไป...........


  • พลังน้ำใจ: 15
ตอบกลับ #6 13 กันยายน 2009, 00:59:42น.
ฟรานซิสผู้ไม่เคยแก่งแย่ง

นานมาแล้ว มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อว่า หมู่บ้านลอแลง หมู่บ้านนี้มีประชากรอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และส่วนใหญ่มีอาชีพทำการเกษตร

อยู่มาปีหนึ่ง ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ชาวบ้านจึงไม่อาจปลูกพืชผักได้และพืชผักเดิมที่พอจะมีเหลือติดพื้นดินอยู่บ้างก็พากันเหี่ยวแห้งเฉาตายไปตามๆ กัน ภัยแล้งดังกล่าวนี้ ทำให้เกิดการขาดแคลนอาหารอย่างหนักในหมู่บ้าน ผู้ที่เดือดร้อนที่สุดเห็นจะเป็นคนยากจน และเด็กๆ ซึ่งพากันร้องไห้กระจองอแง เพราะความหิวโหย จนดังระงมไปทั่วทั้งหมู่บ้าน

ในขณะที่หมู่บ้านแห่งนี้กำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤติ ก็มีเศรษฐีใจบุญคนหนึ่งเดินทางผ่านมายังหมู่บ้านนี้พอดี

เศรษฐีคนนี้ เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กๆ ก็เกิดความเวทนาสงสารเป็นอย่างมาก ดังนั้นเมื่อสอบถามชาวบ้านได้ใจความแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เศรษฐีใจบุญจึงตัดสินใจแวะพักที่หมู่บ้านแห่งนี้ก่อน เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่เด็กๆ และชาวบ้านที่กำลังเดือดร้อน

ดังนั้น เศรษฐีใจบุญจึงเข้าพบผู้นำหมู่บ้าน แล้วถามว่าตัวเขาเองพอจะช่วยอะไรคนในหมู่บ้านนี้ได้บ้าง

"เป็นพระคุณอย่างล้นเหลือ ท่านเศรษฐี แต่หากท่านมีใจจะช่วย พวกเราก็ขอเพียงให้ท่านช่วยบรรเทาความอดอยากหิวโหยของเด็กๆ ก่อน ส่วนปัญหาอื่นนั้น ทางการจะส่งความช่วยเหลือมาถึงเราในไม่ช้า" ผู้นำหมู่บ้านกล่าวแก่เศรษฐีใจบุญอย่างซาบซึ้งใจ

"ถ้าอย่างนั้น วานท่านผู้นำจงช่วยป่าวประกาศแก่เด็กๆ ในหมู่บ้านแห่งนี้ด้วยว่า ทุกๆ เช้า ขอให้เด็กยากจนทุกคนไปรอฉันอยู่หน้าประตูโบสถ์ แล้วฉันจะนำขนมปังมาแจกจ่ายแก่พวกเขาทุกวัน จนกว่าทางการจะส่งความช่วยเหลือมาถึง" เศรษฐีใจบุญกล่าว

เมื่อข่าวนี้ประกาศไปทั่วหมู่บ้าน ในเช้าวันรุ่งขึ้น ก็ปรากฏว่ามีเด็กๆ มารอการแจกขนมปังจากเศรษฐีใจบุญเป็นจำนวนมาก และทันทีที่เด็กๆ เห็นถุงใส่ขนมปัง พวกเขาก็กรูกันเข้ามาแย่งชิงขนมปังโดยไม่ฟังอีร้าอีรามใดๆ แม้เศรษฐีใจบุญจะบอกให้ทุกคนใจเย็นๆ แต่เด็กๆ เหล่านี้อดอยากมานาน และอยากได้ขนมปังมาประทังความหิวของตนโดยเร็ว ดังนั้นจึงไม่มีใครฟังคำขอร้องของเศรษฐีใจบุญ เด็กบางคนแอบหยิบขนมปังไปมากกว่าหนึ่งชิ้น บางคนผลักเพื่อนให้พ้นทางตน บางคนดึงทึ้งผมคนข้างหน้า และบางคนถึงกับชิงเอาขนมปังจากคนที่ได้ก่อนไปหน้าตาเฉย การแจกขนมปังเป็นไปด้วยความวุ่นวายและไร้ระเบียบเป็นที่สุด แต่เศรษฐีใจบุญไม่ได้รู้สึกโกรธเด็กๆ เขาเข้าใจดีว่าความหิวทำให้เด็กทุกคนต้องเอาตัวรอด

แล้วตอนนั้นเอง เศรษฐีใจบุญก็เหลือบไปเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนมองเพื่อนๆ แย่งขนมปังอยู่นอกกลุ่ม และไม่ได้มีทีท่ากระวนกระวายอยากได้ขนมปังเหมือนคนอื่นๆ เศรษฐีใจบุญรู้สึกแปลกใจ จึงเดินทางไปหาเด็กหญิงแล้วถามว่า

"หนูไม่อยากกินขนมปังบ้างหรือ"

เด็กหญิงเงยหน้าอันซีดเซียวของเธอขึ้นมองเศรษฐีใจบุญ แล้วยิ้มน้อยๆ ก่อนจะตอบว่า

"หนูอยากรับประทานขนมปังค่ะ เพราะหนูหิวมากเหลือเกิน แต่หนูไม่อยากเข้าไปแย่งชิงขนมปังกับคนอื่นๆ มันไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะทำร้ายกันเพียงเพราะขนมแค่ชิ้นเดียว แล้วเด็กเหล่านั้นก็เป็นเพื่อนเล่นของหนูทั้งนั้นเลยค่ะ"

เมื่อเด็กคนอื่นๆ ได้ขนมปังและถอยออกไปจนหมดแล้ว เด็กหญิงจึงค่อยเดินเข้าไปหยิบขนมปังชิ้นเล็กเพียงชิ้นเดียวที่เหลืออยู่ออกมาจากก้นถุง

"หนูชื่ออะไรจ้ะ แล้วเป็นลูกเต้าเหล่าใครกัน" เศรษฐีใจดีถามด้วยความรู้สึกสนใจในตัวเด็กหญิง

"หนูชื่อฟรานซิสค่ะ หนูอยู่กับแม่สองคนในบ้านเช่าใกล้ๆ กับโบสถ์นี่เอง แม่ของหนูเป็นคนรับจ้างทำความสะอาดค่ะ" เด็กหญิงตอบ พร้อมกันนั้นก็ได้กล่าวคำขอบคุณแก่เศรษฐีใจบุญที่ให้ความเมตตาช่วยบรรเทาความหิวให้แก่ตนและเพื่อนๆ จากนั้นเด็กหญิงก็กลับบ้านไป

วันรุ่งขึ้น เด็กๆ ก็มารอการแจกขนมปังจากเศรษฐีใจบุญหน้าโบสถ์อีก เมื่อเศรษฐีมาถึง เด็กๆ ก็พากันกรูเข้าไปแย่งขนมปัง และทะเลาะต่อยตีกันเป็นที่วุ่นวายอีกเช่นเคย เศรษฐีใจบุญมองหาฟรานซิส และพบว่าเธอยังยืนรอให้เพื่อนๆ หยิบขนมชิ้นโตๆ ไปก่อนเหมือนเดิม เศรษฐีใจบุญมองดูเธอเดินเขาไปหยิบขนมชิ้นที่เล็กที่สุดออกมาเป็นคนสุดท้าย จากนั้นจึงเดินเข้าไปคุยกับฟรานซิส

"เท่านี้ก็พอแล้วค่ะ ท่านเศรษฐี ขอบพระคุณท่านอีกครั้งที่กรุณาเมตตาพวกหนู วันนี้หนูมีความสุขมากที่ได้รับความเมตตาจากท่าน" ฟราสซิสกล่าวขอบคุณแล้วเอาขนมปังกลับบ้าน โดยมีเศรษฐีมองตามไปด้วยสายตาที่ประทับใจ

วันต่อมา เหตุการณ์ทุกอย่างก็เป็นไปดังเดิม เด็กๆ ยังคงแย่งขนมปังกันส่วนฟรานซิสก็ยืนรอขนมปังชิ้นเล็กที่สุดที่เหลือเป็นชิ้นสุดท้าย เด็กหญิงกล่าวขอบคุณเศรษฐีใจบุญแล้วเอาขนมปังกลับบ้านเหมือนเช่นเคย

เหตุผลที่ฟรานซิสไม่เคยกินขนมปังทันทีที่ได้ และเอากลับมาที่บ้านก่อนทุกครั้งนั้น เป็นเพราะเธอมีใจนึกถึงแม่ซึ่งต้องทำงานหนักและมีความหิวเช่นเดียวกับเธอ ดังนั้นฟรานซิสจึงไม่กินขนมปังที่ได้คนเดียว แต่เธอจะนำกลับมาให้แม่กินก่อนแล้ววันนี้ก็เช่นเดียวกัน...

เมื่อมาถึงบ้านฟรานซิสเข้าไปกราบแม่ และส่งขนมปังที่ได้รับมาให้แก่แม่ของเธอ

"มากินขนมปังด้วยกันสิลูก" แม่ของฟรานซิสบอกลูกสาวเมื่อเห็นเธอไปนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงมุมห้อง

"แม่กินเถอะจ้ะ ลูกเบื่อขนมปังแล้ว และวันนี้ลูกไม่หิวเลย" ฟรานซิสตั้งใจปดแม่ เพราะเธอเห็นว่าขนมปังที่ได้รับในวันนี้มีขนาดเล็กมากเหลือเกิน หากแบ่งกันกิน ก็เกรงว่าแม่ของเธอจะไม่อิ่ม

"อย่าโกหกแม่เลยฟรานซิส...ลูกไม่มีวันเบื่อขนมปังหรอก เพราะนี่คือสิ่งที่ลูกชอบมากที่สุด...มาเถอะลูก มานั่งกินขนมปังชิ้นนี้ด้วยกัน" แม่ของฟรานซิสกล่าวแก่ลูกสาวอย่างรู้ทัน พร้อมกับบิขนมปังออกเป็นสองชิ้น แต่แล้วฟรานซิสกับแม่ก็ต้องตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อมีเหรียญทองคำเหรียญหนึ่งตกลงมาจากขนมปังชิ้นนั้น

"มีเหรียญทองคำอยู่ในขนมปังได้อย่างไรกันจ๊ะแม่" ฟรานซิสถามแม่ด้วยความตกใจ

"ท่านเศรษฐีคงเผลอทำตกลงไปในระหว่างที่กำลังดูเขาทำขนม...ลูกจงเอาเหรียญทองคำนี้ไปคืนท่านเถิด" แม่ของฟรานซิสบอก

ฟรานซิสจึงไปตามหาเศรษฐีใจบุญ และคืนเหรียญทองคำให้แก่เขา

"แม่ของหนูบอก มันอาจจะหล่นลงไประหว่างทำขนมปังน่ะคะ" เธอกล่าวด้วยสีหน้าและแววตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์

"การกระทำของหนูทำให้ฉันประทับใจมาก เหรียญทองคำนี้ฉันตั้งใจใส่ลงไปเอง เพื่อเป็นของขวัญที่หนูเป็นเด็กดี มีมารยาทและไม่แก่งแย่งขนมกับเพื่อน"

"จงนำเหรียญทองคำเหล่านี้ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิตของหนูและแม่เถิด และจงรักษาความดีเหล่านี้ให้อยู่กับตัวหนูตลอดไป ฉันเชื่อว่าด้วยความดีทั้งหมดของหนู จะทำให้หนูเติบโตเป็นคนที่มีความสุขและประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างแน่นอน"

.........................................เธอทั้งหลาย.............................................

มีตัวอย่างมาให้เห็นกันมากแล้วว่า การไขว่คว้าหาสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อตนเองด้วยการแก่งแย่งทำร้ายกันนั้น ไม่ได้ก่อให้เกิดผลดีใดๆ เลย เธออยากได้สิ่งเหล่านั้นถึงขนาดทำร้ายหัวใจตนเอง และเข่นฆ่าความสุขของผู้อื่นเลยหรือ...ถ้าอย่างนั้น สิ่งที่เธอได้มาจะมีความหมายอะไร

คนที่ได้อะไรมาด้วยการแย่งชิงนั้น แม้จะได้รับชัยชนะจากการเป็นผู้ครอบครอง แต่เขาจะไม่มีความสุขกับสิ่งนั้นนานนักหรอก ในไม่ช้าเขาก็จะต้องเริ่มไขว่คว้าหาสิ่งอื่นที่คิดว่ามีค่ายิ่งกว่าต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยสำคัญผิดไปว่าจะสามารถถมความต้องการที่ไม่มีวันเติมให้เต็มของตนเองได้

ผิดกับคนที่รู้จักการรอคอย และทำใจให้รู้จักพอกับสิ่งที่ได้มา แม้จะไม่เคยแก่งแย่งแข่งขันกับใคร แต่การรอคอยอย่างมีสติจักนำพาสิ่งที่ต้องการมาอยู่ในครอบครองของเขาในที่สุด แม้สิ่งที่ได้มาอาจจะดูน้อยค่าเหลือเกินในความคิดของผู้อื่น แต่การรอคอยจะสอนให้เขารู้จักคุณค่าของสิ่งที่ได้รับ และความรู้จักพอก็จะสอนให้เขาตระหนักว่าสิ่งที่ได้รับมาเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับเขาเสมอ ด้วยผู้ที่รู้จักการรอคอยและรู้จักพอกับสิ่งที่ตนเองได้มานั้น ย่อมเห็นถึงคุณค่าของสิ่งที่ตนมี และไม่ปรารถนาที่จะไขว่คว้าหาสิ่งเกินจำเป็นอื่นใดมาเติมความต้องการของตนเองอีกต่อไป



สมาชิกระดับอาจารย์ C6 *****
  • พลังน้ำใจ: 51775
ตอบกลับ #7 22 สิงหาคม 2011, 23:02:45น.
panyada
Public Relation
Sr. Member

พลังน้ำใจ: 7


 T@$ T@$ T@$
<a href="http://www.swfcabin.com/swf-files/1379918811.swf" target="_blank" class="new_win">http://www.swfcabin.com/swf-files/1379918811.swf</a>

 

เว็บไซต์ในเครือข่ายอภิโชค : apichokeonlin.com | apichoke.net | apichoke.biz | apichoke.me | apichoke.org | apichoke.info
"ศาสตร์ของการคำนวณหวย สถิติหวยความน่าจะเป็น บนเว็บนี้ เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน-นักคำนวณ และบุคคลทั่วไปตลอดจนเลขจากไสยศาสตร์ต่างๆ การที่ใครจะถูกสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือถูกหวย รวยด้วยหวย ก็เป็นเพียงแต่ การเสี่ยงโชค เสี่ยงดวง เท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ และไม่ควรงมงาย หากต้องการเสี่ยงโชค ซื้อหวย เล่นหวย ก็ขอให้ เสี่ยงโชคแต่พอเพียงตามกำลังของตนเอง อย่าซื้อเกินกำลังอาจทำให้เดือนร้อนได้"
คำเตือน : อย่าหลงเชื่อหากมีผู้อ้างตนเป็นอาจารย์ดังสามารถให้หวยถูก100%หรือให้ถูกทุกงวดแน่นอน หรืออวดอ้างว่ารู้จักกับเจ้าหน้าที่กองสลาก แล้วเรียกเก็บเงินจากท่าน
ข้อมูลในเว็บนี้ใช้ประกอบเสี่ยงโชคสำหรับซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลเท่านั้น ไม่สนับสนุนหวยที่ผิดกฏหมาย