"หวยซอง เลขเด็ด เขียนโดยสาธารณชน เป็นการเสนอแนะเพื่อเสี่ยงโชคซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ถูกกฎหมายเท่านั้น ไม่มีการขายหวยทุกชนิด และ ไม่มีใครทราบว่าหวยจะออกตัวไหน โปรดใช้วิจารณญาณ"

เรื่อง: มาดูแล สุขภาพกันนะคะ
 
 34783

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170027
ตอบกลับ #60 27 กรกฎาคม 2015, 23:08:53น.



ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170027
ตอบกลับ #61 27 กรกฎาคม 2015, 23:10:10น.



ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170027
ตอบกลับ #62 27 กรกฎาคม 2015, 23:11:06น.



ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170027
ตอบกลับ #63 10 สิงหาคม 2015, 18:30:19น.
สีปัสสาวะ กำลังบอกอะไร?






สีปัสสาวะ กำลังบอกอะไร?

ในแต่ละวันร่างกายเราผลิตปัสสาวะ 2-3 ไพน์(1 ไพน์ เท่ากับ 568 มิลลิลิตร) ก่อนที่คุณจะฉี่หรือขับถ่ายของเสียออกมา ไตของคุณจะกรองของเสียที่ละลายอยู่ในน้ำโดยการดูดซับเอาสารอาหารที่จำเป็น ต้องเก็บไว้ เช่น น้ำตาล กลับคืนสู่ร่างกายของคุณ และปล่อยสิ่งที่ร่างกายไม่ต้องการเช่น สารพิษ ออกไป ของเสียที่เป็นของเหลวนี้จะไหลไปยังกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งเป็นสถานที่เก็บกักจนกว่ามันจะถูกปล่อยออกไป

หากปัสสาวะของคุณมีสีน้ำตาล มันอาจจะเกิดจากการที่คุณกิน ผัก Rhubarb ถั่ว Fava หรือ ว่านหางจรเข้มากเกินไป มันอาจจะเป็นผลข้างเคียงของการรับประทานยาบางชนิดก็ได้ เช่น ยาระบาย
ยาคลายกล้ามเนื้อ และยาปฏิชีวนะ หากร้ายแรงกว่านั้น มันจจะเป็นสัญญาณว่าตับของคุณกำลังทำงานผิดปกติ มีโรคไต

หากปัสสาวะของคุณมีสีม่วง คุณอาจจะกำลังประสบกับโรคทางพันธุกรรมที่หายากเนื่องจากการทำงานผิดปกติของ ร่างกาย หรือที่เรียกว่า Porphyria โรคนี้ทำให้ร่างกายของคุณมีประสิทธิภาพในการของเอ็นไซม์ต่ำ ซึ่งเอ็นไซม์นี้มีส่วนช่วยในการสร้าง Heme ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของเม็ดเลือดแดง

หากปัสสาวะมีสีเขียว มันอาจจะเกิดจากการได้รับยาชนิดใหม่หรือวิตามินใหม่ สีย้อมอาหารบางชนิดก็ไม่ถูกดูดซึมโดยร่างกาย และสามารถขับออกมาทางปัสสาวะได้ ดังนั้นสีเขียวไม่ได้แปลว่าเราต้องตระหนกตกใจแต่อย่างใด โดยเฉพาะเมื่อมีปัสสาวะสีเขียวหลังจากวันเซนต์แพทริก

หากปัสสาวะมีสีน้ำเงิน คุณอาจจะกำลังเป็น Hypercalcemia ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากความผิดปกติที่มักพบในเด็ก ซึ่งเกิดจากการมีแคลเซียมในเลือดมากเกินไป หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Blue Diaper Syndrome โรคผ้าอ้อมฟ้า ยาบางชนิดซึ่งมีส่วนประกอบของ Methylene blue ก็อาจจะทำให้ปัสสาวะมีสีน้ำเงินหรือเขียวได้เช่นเดียวกัน

หากปัสสาวะมีสีชมพูหรือแดง อาจจะแปลว่าคุณมีเลือดปนอยู่ในปัสสาวะ นั่นอาจจะเกิดจากหลากหลายอาการนับตั้งแต่ต่อมลูกหมากโต มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ หรือแม้แต่พิษจากสารตะกั่ว แต่ปัสสาวะสีแดงอาจจะเกิดจากการรักษาทางการแพทย์หลายชนิดก็ได้ หรือแม้แต่การรับประทานอาหารที่มีสีสันสดใสเช่น บีท หรือแบล็คเบอร์รี่ ซึ่งความเป็นจริงแล้วคำว่า Beeturia เป็นศัพท์ทางเทคนิคสำหรับการที่ปัสสาวะมีสีชมพูจากการทานบีทมากเกินไป

หากปัสสาวะมีสีส้ม มันอาจจะเกิดจากการรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีมากเกินไป หรือมีแคโรทีนมากเกินไปเช่นแครอท อาจจะเกิดจากยาได้ด้วย เช่น ยาบรรเทาปวดชื่อ Pyridium ซึ่งมักสั่งให้กับผู้ป่วยที่มีอาการติดเชื้อในทางเดินกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งจะทำให้ปัสสาวะมีสีส้มสด

โดยปกติแล้ว ปัสสาวะมีสีเหลืองหลายเฉด และมันมีสีเหลืองเนื่องจากเม็ดสีสีเหลืองนี้จาก Urobilin ซึ่งเกิดจากการแตกตัวของ Heme ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของเลือดของคุณ และขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำที่คุณดื่มเข้าไปในแต่ละวัน ดังนั้นปัสสาวะของคุณก็อาจจะมีส่วนประกอบของ Urobilin ในปริมาณที่เจือจางหรือเข้มข้น

หากมันมีสีเหมือนน้ำผึ้ง นั่นแปลว่าร่างกายของคุณดูดซึมน้ำกลับเข้าไปเพื่อให้คุณไม่ขาดน้ำ ดังนั้นจึงมี Urobilin ในปริมาณที่เข้มข้นทำให้ปัสสาวะของคุณมีสีน้ำตาลเข้ม คุณควรจะดื่มน้ำในตอนนี้ทันที หากมันมีสีเหลืองเข้ม นี่เป็นสถานการณ์ปกติ แต่มันก็ยังมี Urobilin ในปริมาณมากอยู่ และคุณก็ยังควรต้องดื่มน้ำเร็วๆนี้ หากปัสสาวะของคุณไม่มีสี แปลว่าคุณดื่มน้ำในปริมาณมาก และนั่นอาจจะแปลว่า คุณเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน หรือแอลกอฮอล์ ซึ่งทำให้ความสามารถในการดูดซึมของเหลวกลับเข้าสู่ระบบของไตคุณนั้นกำลังมี ปัญหา และนั่นแปลว่าคุณปัสสาวะเอาน้ำออกมามากไปได้

หากปัสสาวะของคุณมีสีเหลืองใส คุณเป็นปกติและได้รับน้ำในปริมาณที่พอเหมาะ



ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : trueplookpanya.com


 j|a j|a j|a


แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 สิงหาคม 2015, 18:36:38น. โดย namtanwaan

ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170027
ตอบกลับ #64 10 สิงหาคม 2015, 18:36:18น.

วิธีสังเกตุ ยาหมดอายุ ทำได้ง่ายๆ





ในการรับประทานยาสิ่งสำคัญที่ควรคำนึง เป็นอย่างมาก คือ การสังเกตว่ายาหมดอายุหรือยัง ยายังอยู่ในสภาพดีหรือไม่ ยาหมดอายุบางชนิดทำให้ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารจนอาจกลายเป็นโรค กระเพาะอาหาร หรือแทนที่จะระงับโรคกลับทำให้โรคลุกลามมากขึ้น ตัวยาบางชนิดเมื่อเกิดการเสื่อมอาจก่อให้เกิดโทษและเป็นภัยแก่ร่างกาย ถึงกับทำให้ไตวายและไตอักเสบได้



ยาส่วนมากจะระบุวันที่ผลิตและวันหมดอายุไว้บนฉลาก หรือซองยาอย่างชัดเจน โดยวันที่ผลิตจะเขียนว่า Manu.Date หรือ Mfg.Date ตามด้วยวัน เดือน ปี ของวันที่ผลิตยา ส่วนวันหมดอายุจะเขียนว่า Expiry Date หรือ Used before หรือ Expiring หรือ Use by แล้วตามด้วย วัน-เดือน-ปี ของวันที่ยาหมดอายุ ตัวอย่างเช่น Exp.date 30/07/11 หมายความว่า ยาจะหมดอายุในวันที่ 30 กรกฎาคม ปี ค.ศ. 2011


 
ยาบางชนิดระบุไว้เพียงวันผลิตแต่ไม่ได้ระบุ วันหมดอายุ โดยทั่วไปหากเป็นยาน้ำที่ยังไม่ได้เปิดใช้จะเก็บไว้ได้ 3 ปีนับจากวันผลิต แต่หากเปิดใช้แล้วก็ขึ้นอยู่กับว่ามีการดูแลได้ดีพอหรือไม่ เช่น การใช้ปาก จิบยาแก้ไอจากขวด (ไม่ควรทำเพราะจะไม่รู้ปริมาณยาที่แน่นอน) จะทำให้ยาปนเปื้อนและเสียได้ในเวลา 2-3 วัน หากกินโดยการเทใส่ช้อน ปิดฝาอย่างดี และเก็บไว้ในตู้เย็น สัก 3 เดือนก็ควรนำไปทิ้ง ในกรณีที่เป็น ยาเม็ดสามารถเก็บรักษาไว้ได้ 5 ปี นับจากวันที่ผลิต


 
คุณผู้อ่านพอจะรู้วิธีการดูวันหมดอายุของยาไปบ้าง แล้ว ติดตามวิธีการสังเกตยาหมดอายุที่เสื่อมคุณภาพในศุกร์สุขภาพตอนต่อไป การเฝ้าระวังหรือการปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็เป็น อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้ชีวิตของเราปราศจากอันตราย จากการรับประทานยาที่เสื่อมคุณภาพและหมดอายุได้อย่างแน่นอน

 

 
ที่มา : เว็บไซต์ไทยรัฐ เรื่องโดย รองศาสตราจารย์นายแพทย์อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์  คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี


 j|a j|a j|a


หวยซอง เลขเด็ด อภิโชควิเคราะห์เลขรวย หวยรัฐบาล : Apichoke.net

Re: มาดูแล สุขภาพกันนะคะ
« ตอบกลับ #64 เมื่อ: 10 สิงหาคม 2015, 18:36:18น. »

ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170027
ตอบกลับ #65 10 สิงหาคม 2015, 18:40:07น.


ตำรับข้าวรักษาโรค ภูมิปัญญาหมอพื้นบ้านภาคอีสาน


ตำรับข้าวรักษาโรค ภูมิปัญญาหมอพื้นบ้านภาคอีสาน
          ข้าวเป็นยา บำบัดรักษาสารพัดอาการ ถือเป็นหนึ่งทางเลือกในการดูแลสุขภาพ ซึ่งหมอยาพื้นบ้านสืบทอดกันมาช้านาน

          อาหาร หลักที่คนไทยทานกันทุกบ้านอย่าง ข้าว ได้รับการยอมรับจากนักโภชนาการว่ามีคุณประโยชน์ทางสารอาหารครบถ้วนในตัวเอง และก็เป็นหนึ่งในตำรับยาที่หมอยาพื้นบ้านทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือนำมาใช้ บำบัดรักษาอาการต่าง ๆ ลองมาดูข้อมูลเรื่องนี้จาก ไทยโพสต์

          ข้าว ที่มีสารอาหารครบถ้วน ต้องเป็นข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ เพราะข้าวขัดขาวสารอาหารสำคัญจะถูกขัดสีออกไปเป็นรำข้าวเกือบหมดแล้ว และทางการแพทย์แผนจีนยังกล่าวว่า ข้าวมีทั้งหยิน-หยางอย่างสมดุลในตัวเอง ถือเป็นยารักษาโรคคุณภาพดี การแพทย์พื้นบ้านหรือการแพทย์ตะวันออกของทุกชาติที่มีการบริโภคข้าวเป็น อาหารหลักจึงมักมีตำรับยาดีๆ ที่ใช้ข้าวในการรักษาโรคมากมายทั้งแบบใช้เดี่ยว ๆ หรือใช้แบบตำรับ

          ผล ผลิตจากการสีข้าวแบบขัดข้าวจะได้รำและจมูกข้าว ในสมัยก่อนมักขายเป็นหัวอาหารนำไปใช้เลี้ยงหมู เลี้ยงเป็ด ไก่ แต่เมื่อประชาชนตระหนักรู้ในความสำคัญของรำข้าวและจมูกข้าวแล้ว ก็มีการสีข้าวกล้องเพื่อลดการขัดสีจมูกข้าวลง สำหรับเป็นทางเลือกของประชาชนในการเลือกซื้อข้าวที่มีคุณค่าทางสารอาหารใน การบริโภคมากขึ้น หรือแม้กระทั่งรำและจมูกข้าวก็นำมาบีบเอาน้ำมันที่เรียกว่าน้ำมันรำข้าว ซึ่งเป็นน้ำมันคุณภาพดี สามารถนำมาใช้บำรุงผิว ทำยา และอาหาร หรือบรรจุในแคปซูลเป็นอาหารเสริมบำรุงร่างกาย






        หมอ ยาพื้นบ้านภาคอีสานได้ทำการรวบรวมตำรับยาที่ใช้ข้าวปรุงเป็นยารักษาโรคต่าง ๆ อาทิ โรคผดผื่น มดมาน โรคผิวหนัง ภูมิแพ้ ปวดหัวไมเกรน ถอนพิษจากสัตว์หรือพืช เช่น พิษงู แมงมุม แมงป่อง ตะขาบ เจ็บหัว เจ็บตา อีสุกอีใส มดลูกเป็นแผลทำให้มดลูกหดตัวแห้ง แก้ซางขโมยเด็กน้อย สมานแผล แก้ปวด แก้ไอ แก้พิษ แก้งูสวัด และบำรุงร่างกาย ซึ่งหมอพื้นบ้านต่างลงความเห็นว่าได้ผลดี และเป็นยากลางบ้านที่ชาวอีสานใช้กันบ่อย เช่น
 

           ตำรับยาใช้น้ำซาวข้าวรักษาพิษงูสวัด

งูสวัดเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่เกิดจากเชื้อไวรัส มีอาการคัน ๆ เจ็บ ๆ หรือปวดแสบร้อนบริเวณผิวหนัง จากนั้นเกิดอาการบวม แดง ร้อน และเริ่มพองเป็นตุ่ม น้ำใส เรียงตัวเกาะกันเป็นกลุ่ม ๆ ตุ่มน้ำใสเหล่านี้ก็จะพองโตและแตกออกกลายเป็นสะเก็ด เป็นที่ทรมานไม่น้อย ตำรับยาที่ใช้รักษา ใช้ใบเสลดพังพอนโขลกจนละเอียด ผสมกับน้ำซาวข้าว จะได้ยาลักษณะเหนียวข้น ใช้สำลีชุบน้ำยาทาบริเวณที่เป็นงูสวัดบ่อย ๆ เมื่อยาแห้งก็ทาใหม่ ประมาณ 1 อาทิตย์ก็เห็นผล ยานี้มีสรรพคุณดูดพิษงูสวัด

           ตำรับน้ำซาวข้าวผสมขิง

 รักษาอาการผด ผื่น คัน โดยนำขิงมาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำซาวข้าวคนให้เข้ากัน ใช้ทาผิวหนังที่มีอาการผดผื่นคัน ใช้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่


           ข้าวจี่ ดูดพิษดูดฝี 

ข้าวจี่คือข้าวเหนียวปั้นเป็นก้อนกลม ๆ แบน ๆ ขนาดพอเหมาะมือ นำไปปิ้งไฟ (จี่ไฟ) จนไหม้เกรียม แล้วนำข้าวนั้นมาตำกับใบลำโพง 7 ใบให้ละเอียด เวลาใช้ให้เอาน้ำซาวข้าวเป็นกระสายยา แล้วนำไปพอกบริเวณที่เป็น


          การ ใช้ข้าวเป็นยารักษาโรค มีทั้งการใช้ในรูปแบบอาหารรับประทานโดยตรง เช่น ข้าวต้ม หรือน้ำข้าวต้ม ใช้ในรูปแบบยาเข้าตำรับ หรือเป็นน้ำกระสายยา ข้อมูลจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดยอุษา กลิ่นหอม และคณะ (2546) และเอกสารตำรายาอีสานโบราณของ ดร.ปรีชา พิณทอง (2536) พบว่าหมอพื้นบ้านชาวอีสานมีการใช้ข้าวเป็นยารักษาโรคต่าง ๆ ถึง 38 กลุ่มอาการ และมีตำรับยาจำนวน 330 ตำรับ โดยใช้ในการรักษาอาการที่เกี่ยวข้องกับไข้มากที่สุดจำนวน 122 ตำรับ เป็นการรักษาไข้หมากไม้ 81 ตำรับ และไข้ธรรมดาจำนวน 40 ตำรับ นอกจากนี้ยังมีตำรับรักษาสัตว์เลี้ยงอีก 2 ตำรับ อาทิ


           แก้เบื่อเมา ใช้รากมะนาวฝนใส่น้ำซาวข้าว บำรุงเส้นผม ใช้น้ำซาวข้าว ใบหมี่ รากมะขามส้ม ต้มรวมกันแล้วนำไปสระผม
         
           แก้เบาหวาน ใช้แก่นสะเดา 1 ส่วน ฟางข้าวเจ้า 1 ส่วน ต้มกิน 3 วันหลังอาหาร
         
           ยาแก้หืด ใช้รากลำเจียก 1 ส่วน ทองพันชั่ง 1 ส่วน แกลบข้าวเหนียว 1 ส่วน ดินประสิว 1 ส่วน ต้มน้ำ 3 ส่วน เคี่ยวเหลือ 1 ส่วนกิน

           กินของผิดสำแดง ใช้รากย่านาง รากหมาน้อย เฟืองข้าวเจ้า รากฝาง อ้อยดำ ฝนกิน

           โรคฝี ใช้รากต้างไก่ หัวหนวดแมว น้ำข้าวจ้าวเป็นน้ำฝนทา ปวดหัว ใช้รากตดหมา เข็มขาว ฝนใส่น้ำข้าวเจ้าทา

           แก้ไอ ใช้ข้าวเจ้าป่นละเอียด 1 ส่วน พริกไทย 1 ส่วน น้ำผึ้ง 1 ส่วน เอาทั้ง 3 ผสมให้เข้ากันกินแก้ไอ

          นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการใช้ข้าวเป็นยารักษาโรคจากภูมิปัญญาของหมอพื้น บ้านภาคอีสาน ที่ตระหนักว่าการเป็นหมอพื้นบ้านนั้นเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตในชุมชนที่ แสดงออกถึงการเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันในชุมชน เป็นทางเลือกในการพึ่งพาตนเองในการดูแลสุขภาพ ที่มีการสืบทอดความรู้ภูมิปัญญามาช้านาน และถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่ง อันเป็นกลไกสำคัญของการดำรงชีวิตที่ยังคงมิตรภาพ น้ำใจและไมตรี ที่หาได้ยากยิ่งนักในสังคมโลกปัจจุบัน

ขอบคุณข้อมูลจาก ไทยโพสต์


 j|a j|a j|a

ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170027
ตอบกลับ #66 10 สิงหาคม 2015, 18:43:13น.


สมุนไพรไทย กับโรคความดันสูง



โรคความดันโลหิตสูง เป็นอีกหนึ่งโรคยอดนิยมที่คนจำนวนมากมักป่วยกันและมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นสูง อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการรักษาโรคนี้นั้นนอกจากจะรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันและการทานยาควบคู่ ไปแล้วนั้น ยังสามารถรักษาได้ด้วยการทานอาหารและการทานสมุนไพรของไทยได้อีกด้วย แถมสมุนไพรที่ว่านี้ หาซื้อได้ง่าย ทานง่าย และไม่ต้องผ่านวิธีการทำที่ยุ่งยาก

ซึ่งสมุนไพรไทยรักษาความดันโลหิตสูงนั้นจะมีอะไรบ้าง และต้องรับประทานอย่างไร ไปดูกันเลย

  1. กระเทียม : อาจารย์คาริน รีด อาจารย์ประจำคณะแพทย์เวชทั่วไป แห่งมหาวิทยาลัยอเดเลด ออสเตรเลีย พบว่า สารสกัดจากกระเทียมสามารถลดความดันโลหิตลงได้ แต่ควรเป็นหัวกระเทียมแก่ เพราะหากเป็นกระเทียมอ่อนหรือกระเทียมที่ผ่านการปรุงสุกแล้ว จะได้สรรพคุณไม่เทียบเท่ากับหัวกระเทียมแก่

  2. ใบกะเพรา : คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้แนะนำให้ผู้ที่มีความดันสูงรับประทานใบกะเพราเป็นประจำ ซึ่งการรับประทานใบกะเพรามีหลากหลายวิธี ตั้งแต่การนำใบมาเคี้ยวรับประทานสดๆ, นำไปคั้นแล้วผสมกับน้ำอุ่นดื่ม, นำไปตากแห้งเหมือนใบชาแล้วนำมาชงผสมกับชาและดอกคาโมมายด์ หรือจะนำไปผัดกับเนื้อสัตว์แล้วรับประทานเป็นกับข้าวก็ล้วนได้ประโยชน์

  3. กระเจี๊ยบแดง : เนื่องจากในกระเจี๊ยบแดงมีสารแอนโธ ไซยานิน (anthocyanins) ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วก็จะไปช่วยเสริมสร้างให้หลอดเลือดแข็งแรง วิธีรับประทานกระเจี๊ยบก็เพียงนำกลีบเลี้ยงของดอกกระเจี๊ยบไปตากแห้ง แล้วนำมาบดชงดื่มวันละ 3 ครั้ง เป็นประจำทุกวัน ก็จะทำให้ความดันโลหิตลดลงได้

  4. บัวบก : น้ำใบบก นอกจากจะช่วยแก้อาการช้ำในได้แล้ว ยังมีคุณประโยชน์อีกมากมาย โดยเฉพาะสรรพคุณในการลดความดัน โดยกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้แนะนำว่าการดื่มน้ำใบบัวบกเป็นประจำทุกวัน จะทำให้ความดันโลหิตลดลงได้ แถมเจ้าบัวบกนี้ยังช่วยทำให้หลอดเลือดดำและเส้นเลือดฝอยแข็งแรงขึ้น ช่วยคลายเครียดได้ ซึ่งความเครียดนั้นเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ความดันโลหิตสูง

  5. ตะไคร้ : นอกจากจะมีสรรพคุณในการขับปัสสาวะและขับลมแล้ว ยังช่วยลดความดันโลหิตได้ด้วย และกลิ่นจากน้ำมันหอมระเหยยังช่วยบรรเทาอาการปวดหัวที่เนื่องมาจากความ เครียดได้ และที่สำคัญตะไคร้ยังเป็นพืชสมุนไพรที่หาง่ายและสามารถปลูกเป็นพืชผักสวน ครัวได้

  6. ขึ้นฉ่าย : ขึ้นฉ่าย เป็นสมุนไพรที่ชาวเอเชียนำมาใช้เป็นยาลดความดันโลหิตต่อเนื่องกันมายาวนานก ว่า 2,000 ปี โดยชาวจีนและเวียดนามเชื่อว่าการรับประทานขึ้นฉ่ายวันละ 4 ต้น จะทำให้ความดันโลหิตเป็นปกติ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาวิจัยขึ้นฉ่ายกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา พบว่าขึ้นฉ่ายมีฤทธิ์ในการลดความดันโลหิต คุมกำเนิด ยับยั้งมะเร็ง ลดคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ได้อีกด้วย

 7. ฟ้าทะลายโจร : เป็นสมุนไพรที่มากสรรพคุณจนคนที่เคยไม่ชอบมัน อาจจะเปลี่ยนความคิดได้ โดยเฉพาะสรรพคุณในการลดความดันโลหิต ซึ่งสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับฟ้าทะลายโจรและพบว่า สารสกัดจากฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ในการลดความดันโลหิต ช่วยในการขยายตัวของหลอดเลือด และลดอัตราการเต้นของหัวใจไม่ให้เร็วจนเกินไป

  8. ขิง : เป็นสมุนไพรโบราณที่นำมาใช้ในการรักษาโรคมากกว่า 5,000 ปี ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยย่อยอาหาร แต่ยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและช่วยลดความดันโลหิตได้อีกด้วย ที่สำคัญควรใช้อย่างระมัดระวังเนื่องจากขิงเป็นพืชที่มีฤทธิ์ร้อน หากรับประทานมากไปอาจจะทำให้เกิดร้อนในและแผลในกระเพาะอาหารได้ นอกจากนี้ผู้ที่มีนิ่วในถุงน้ำดีและรับประทานยาละลายลิ่มเลือดควรปรึกษา แพทย์และระมัดระวังในการใช้

 9. มะกรูด : มะกรูด เป็นสมุนไพรที่มากด้วยสรรพคุณทางยา แถมยังนิยมนำส่วนของใบและน้ำของผลมะกรูดมาใช้ในการทำอาหารอีกด้วย นอกจากนี้ เภสัชกรหญิงจุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก เภสัชกร 8 วช. ศูนย์บริการการสาธารณสุข ยังได้แนะนำเอาไว้ในหนังสือ สมุนไพรลดความดันโลหิตสูง ว่ามะกรูดมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาช่วยลดความดันโลหิดและช่วยต้านเชื้อแบคเรีย โดยการนำใบมะกรูด 7-10 ใบมาต้มน้ำ ดื่มเช้าเย็นเป็นประจำทุกวันก็จะช่วยให้ความดันโลหิตเป็นปกติได้

 10. อบเชย : อบเชย สมุนไพรที่มีกลิ่นหอมหวานชนิดนี้ มีการวิจัยในญี่ปุุ่นพบว่ามันมีสรรพคุณในการช่วยลดความดันโลหิต โดยการนำผงอบเชยสำเร็จรูปหรือนำอบเชยมาบดให้เป็นผงชงกับน้ำ ดื่มเช้า เย็น และก่อนนอน นอกจากนี้อบเชยยังช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน


 สมุนไพรลดความดัน แม้ว่าจะดีต่อการลดระดับความดันโลหิตในร่างกายและช่วยรักษาสุขภาพของหลอด เลือดให้แข็งแรงแล้ว แต่ก็ควรเลือกรับประทานอย่างระมัดระวัง เพราะสมุนไพรบางชนิดอาจส่งผลต่อร่างกายได้หากใช้ไม่ถูกต้อง และเพื่อให้เป็นผลดีที่สุดต่อร่างกาย คุณควรปรึกษาแพทย์ก่อนจะเริ่มนำสมุนไพรเหล่านี้มาช่วยในการลดความดันโลหิต
 
 
 
ที่มา : เว็บไซต์แนวหน้า
 ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต



 j|a j|a j|a

ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170027
ตอบกลับ #67 21 สิงหาคม 2015, 18:55:27น.



 j|a j|a j|a

ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170027
ตอบกลับ #68 21 สิงหาคม 2015, 18:56:03น.



 lv: lv: lv:

ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170027
ตอบกลับ #69 21 สิงหาคม 2015, 18:56:47น.



 {"g} {"g}

ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170027
ตอบกลับ #70 21 สิงหาคม 2015, 19:06:58น.




บอกลากลิ่นปาก....ด้วยวิธีง่ายๆ

1. ดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้ว/วัน เพราะน้ำช่วยชะล้างแบคทีเรียในน้ำลาย ดื่มน้ำมากๆ (คนที่มีกลิ่นปาก บางคนไม่ค่อยชอบดื่มน้ำ)

2. อย่าปล่อยให้ปากแห้ง ความข้มข้นของแบคทีเรียที่สะสมในปากย่อมส่งผลให้เกิดกลิ่น

3. ดื่มน้ำมะนาวช่วยได้ เพราะน้ำมะนาว เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำลาย ลดกลิ่นปาก

4. หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ

5. แปรงฟันหลังอาหารทุกมื้อ อย่าลืมแปรงด้านบนของลิ้นด้วย(หลายคนไม่เคยแปรงลิ้น เพราะไม่รู้ว่าลิ้นมีแบคทีเรียสะสมมากๆ) อย่าแปรงฟันแรงๆ และ ต้องเปลี่ยนแปรงสีฟันบ่อยๆหน่อย

6. หากไม่สะดวกแปรงฟัน ต้องบ้วนปากด้วยน้ำสะอาด หรือเคี้ยวหมากฝรั่ง หรือ บ้วนปาก หลังอาหาร ทุกครั้ง

7. ใช้ไหมขัดฟัน อย่างน้อย 1 ครั้ง/วัน

8. เลิกบุหรี่เด็ดขาด

9. ตรวจสุขภาพฟันเป็นประจำ

เรื่องอาหารควรทำดังนี้ รับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ กินโยเกริ์ต และ ผัก ผลไม้ เป็นประจำ ช่วยลดกลิ่นปากได้


ข้อมูล http://www.ram-rayong.com/
ภาพประกอบ : www.manager.co.th


 j|a j|a j|a

ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170027
ตอบกลับ #71 20 กันยายน 2015, 11:57:17น.





ประโยชน์ของการดื่มกาแฟสด

กาแฟเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของคนทั่วโลกก็ว่าได้ ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า กลิ่นหอม ๆ ของกาแฟนั้นทำให้เรารู้สึกอยากดื่มกาแฟสดขึ้นมาทันที

ใครที่ชอบดื่มกาแฟเป็นชีวิตจิตใจ ต้องฟังทางนี้ คุณรู้หรือไม่ว่า กาแฟสดที่คุณดื่มนั้นมีประโยชน์อย่างไร

1. ดื่มกาแฟเป็นประจำช่วยป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ B ได้

2. ดื่มกาแฟเป็นประจำช่วยป้องกันโรคหอบได้

3. ดื่มกาแฟเป็นประจำช่วยลดการเกิดโรคตับจากการดื่มสุราได้

4. สารคาเฟอีนในกาแฟมีกรดอะซิติก ที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ และมะเร็งช่องปากได้

5. ดื่มกาแฟเป็นประจำช่วยชะลอความแก่ได้ เพราะกาแฟที่เข้มข้นนั้นจะทำให้ออกไซด์แตกตัว กระตุ้นการเผาผลาญอาหารในร่างกาย

6. ดื่มกาแฟเป็นประจำช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ป้องกันโรคหัวใจ และหลอดเลือดแข็งตัวได้

7. การดื่มกาแฟหลังจากรับประทานอาหารแล้วจะช่วยลดความอ้วนได้

8. ดื่มกาแฟเป็นประจำช่วยป้องกันหลอดเลือดแข็งตัวได้ จากผลการวิจัยพบว่า คนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ จะมีไขมันชนิด (HDL) เพิ่มขึ้น ซึ่งไขมันชนิดนี้จะไล่คอเลสเตอรอลออกไป จึงป้องกันหลอดเลือดแข็งตัวได้

9. ดื่มกาแฟเป็นประจำช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้ เพราะกาแฟมีส่วนผสมของคาเฟอีนที่ขยายหลอดเลือด ช่วยระงับอาการปวดได้เช่นเดียวกับยาแก้ปวด และยังช่วยขับปัสสาวะ ละลายไขมันในเส้นเลือด และช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ เนื่องจากเมาสุราได้

10. ดื่มกาแฟเป็นประจำช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในสมอง และเพิ่มสมรรถภาพทางสมองได้ มีผู้เชี่ยวชาญสรุปผลการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาว่า ความหอมของกาแฟช่วยกระตุ้นสมองให้ทำงานได้เร็วขึ้น และมีสมาธิ ประสิทธิภาพการทำงานก็ดีขึ้น

11. ดื่มกาแฟเล็กน้อยทำให้น้ำย่อยในกระเพาะหลั่งดีขึ้น ไขมันแตกตัว หากได้ดื่มกาแฟเล็กน้อยหลังทานอาหารเสร็จ สารคาเฟอีนในกาแฟจะมีประโยชน์ต่อกระเพาะโดยตรง น้ำย่อยที่กระเพาะและตับอ่อนเพิ่มขึ้น ไขมันถูกเผาผลาญ





ขอบคุณเจ้าของข้อมูลมากค่ะ 

 j|a j|a j|a

ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170027
ตอบกลับ #72 20 กันยายน 2015, 12:00:35น.



20 ประโยชน์ของกากกาแฟ ที่คุณไม่เคยรู้


หากพูดถึง "กาแฟ" นั้น คนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะวัยทำงานคงดื่มกันแทยจะทุกวันก่อนไปทำงาน เพื่อเริ่มวันที่สดใส แต่คุณรู้ไม่ว่า ในกระบวนการทำกาแฟนั้น เมื่อบดกาแฟจนได้กาแฟที่เราดื่มกันมาแล้ว มันจะมีสิ่งที่เรียกว่า "กากกาแฟ" หลงเหลืออยู่ และด้วยปริมาณการดื่มกาแฟที่มากมายในปัจจุบัน ทำให้มี "กากกาแฟ" เหลือมากเป็นเงาตามตัว วันนี้เราเลยอยากนำเอาเคล็ดลับดีๆ ในการนำเจ้า "กากกาแฟ" ที่ว่านี่มาใช้ใหม่ ไปดูกันเลยว่ามีวิธีอะไรบ้าง

1.นำมาทำ "ปุ๋ย" ใส่ต้นไม้ชั้นดี ผสมกากกาแฟครึ่งถ้วยกับน้ำอุ่นนำมาใส่ขวดสเปรย์ฉีดต้นไม้ จะเร่งโตได้ดี

2.เปลี่ยนสีให้ดอกไฮเดรนเยีย ดอกไม้ชนิดนี้จะเปลี่ยนสีถ้าค่า pH ในดินเปลี่ยน และการใส่กากกาแฟลงดิน จะสามารถลดค่า pH ได้ดี จนทำให้ดอกไม้เปลี่ยนจากสีชมพูเป็นสีน้ำเงิน

3.กันแมวไม่ให้เล่นในสวน แมวไม่ชอบกลิ่นกาแฟ และถ้าคุณเห็นว่ามีแมวเพื่อนบ้าน ชอบมาทำลายสวนคุณ แค่คุณฉีดสเปรย์จากกากกาแฟที่สวน แค่นี้ก็เรียบร้อย

4.ใช้อาบน้ำหมาไล่หมัด เห็บ ใส่กากกาแฟ 1 ช้อนชาลงในแชมพูสุนัข จะช่วยไล่เห็บ หมัด ได้!

5.ย้อมผ้าแบบธรรมชาติ

6.ใช้ขัดรอยดำของหม้อและกระทะให้สะอาด เพราะกาแฟเป็นกรด และสามารถขัดทำความสะอาดได้ดี ลองใช้กากกาแฟซักสามช้อนชา มาขัดหม้อ รับรองสะอาด

7.ใช้กำจัดกลิ่นในท่อของเสียในครัว กากกาแฟสามารถกำจัดกลิ่นได้ดี เพียงแค่เทกากกาแฟลงไป ทิ้งไว้ แค่นี้กลิ่นก็จะหายไป

8.ใช้กากกาแฟซ่อมแซมไม้ที่สีไม่เสมอกันและมีรอยได้

9.ขัดไม้ให้ดูใหม่และดูหยาบ ได้โดยใช้กากกาแฟเปียกและฝอยขัดหม้อ

10.นำถุงใส่กากกาแฟ ใส่ไว้ในรองเท้าเพื่อดับกลิ่น

11.นำมาขัดมือเพื่อดับกลิ่นหลังทำอาหารที่มีกลิ่นแรง อย่างหัวหอม หรือกระเทียม สรุปง่ายๆ ก็คือ กากกาแฟสามารถดูดกลิ่นเหม็นๆ ได้หมด

12.นำมาทำ Play doh ให้เด็กๆ เล่นแบบไร้สารพิษ

13.นำมาทำสเต็กหมูย่างกากกาแฟเป็นอาหารมื้อเย็น ก็ไม่เลวเลยทีเดียว

14.นำมาทำอาหารให้พลังงานชั้นดีได้อีกด้วย

15.เทียนไขจากกากกาแฟก็ทำได้!

16.นำมาสระผมเพื่อลดความมัน ใส่ไปในแชมพูหรือครีมนวดก็ได้แล้วสระ นอกจากนี้ ระวังถ้าคุณมีผมสีอ่อน เพราะมันอาจทำให้ผมคุณสีเข้มขึ้น

17.มาส์กผิวด้วยกากกาแฟ

18.ขัดผิวด้วยกากกาแฟ

19.ทำสบู่จากกากกาแฟก็ยังได้

20.ลบรอยค้ำใต้ตา เพราะกาเฟอีนจะช่วยให้บริเวณส่วนนั้นตื่นตัว และสดชื่นขึ้น




ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170027
ตอบกลับ #73 20 กันยายน 2015, 12:07:09น.
เรามาดูกันดีกว่า 20 ประโยชน์ของกาแฟมีอะไรบ้าง


Credit : Oknation.com


1. ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจในผู้หญิง 25%
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยของสเปนพบว่า ผู้หญิงที่ดื่มกาแฟ 2 – 3 แก้วต่อวันมีอัตราเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่าคนที่ไม่ได้ดื่มและผู้ชาย 25%
2. ลดอัตราเสี่ยงของการเป็นเบาหวาน 60%
กาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระ และยังมีสารประกอบที่เรียกว่า ควินิน (Quinines) ที่ช่วยให้ร่างกายสามารถผลิตอินซูลินได้ดีขึ้น
3. ลดอัตราการเกิดภาวะความจำเสื่อม 65%
จากการวิจัยพบว่ากาแฟมีส่วนช่วยในการชะลอภาวะความจำเสื่อมโดยไปหยุดยั้งหรือต้านการจับตัวของคอเรสเตอรอล (Cholesterol) ที่เป็นผลเสียต่อร่างกาย
4. ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่ 50%
จากการศึกษาถึง 12 ปีกับผู้หญิงในญี่ปุ่นพบว่าคนที่ดื่มกาแฟ 3 แก้วหรือมากกว่าต่อวันมีแนวโน้มในการลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่
5. ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
จากการศึกษากับผู้ชายจำนวน 50,000 คนเป็นเวลา 20 ปีพบว่าคนที่ดื่มกาแฟ 6 แก้วต่อวันจะมีอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยกว่าคนที่ไม่ได้ดื่ม
6. ลดความเสี่ยงของการเป็นอัลไซเมอร์ (Alzheimer) 65%
จากการศึกษากับคนวัยกลางคนในประเทศฟินแลนด์จำนวน 1,400 พบว่าคนที่ดื่มกาแฟ 5 ถ้วยต่อวันสามารถลดอัตราเสี่ยงของการเป็นอัลไซเมอร์ 65%
7. ลดความเสี่ยงของการเป็นตับแข็ง 80%
จากการศึกษากับผู้ดื่มกาแฟจำนวน 125,000 คนพบว่าการดื่มกาแฟ 1 แก้วต่อวันทำให้ความเสี่ยงต่อการเป็นตับแข็งลดลง 20% ถ้าดื่ม 4 แก้วต่อวันจะลดอัตราเสี่ยงได้ 80%
8. ลดความเสี่ยงของการเป็นนิ่วในถุงน้ำดี 50%
ผู้ชายที่ดื่มกาแฟอย่างน้อย 2 แก้วต่อวันมีแนวโน้มในการลดอัตราเสี่ยงของการเป็นนิ่วในถุงน้ำดี 40%, 25% สำหรับผู้หญิงที่ดื่มกาแฟในปริมาณที่เท่ากัน และ 45% สำหรับคนที่ดื่มมากกว่า 4 แก้วต่อวัน
9. ลดความเสี่ยงของการเกิดการอุดตันในเส้นเลือดในผู้หญิง 43%
จากการศึกษากับนางพยาบาลจำนวน 83,000 คนที่ไม่เคยสูบบุหรี่และดื่มกาแฟ 4 แก้วต่อวันสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดการอุดตันในเส้นเลือด 43%
10. ลดความเสี่ยงของการเกิดอาการสั่นของอวัยวะจากระบบปราสาท
11. ลดอัตราเสี่ยงในการฆ่าตัวตายของผู้หญิง 60%
จากการศึกษาเป็นเวลา 10 ปีกับผู้หญิงจำนวน 86,000 คนพบว่าผู้หญิงที่ดื่มกาแฟ 2 แก้วต่อวันสามารถลดอัตราเสี่ยงในการฆ่าตัวตายของ 60%
12. กาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระจะช่วยซ่อมแซมเซลต่างๆในร่างกายที่ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ
13. กาแฟช่วยให้เรารู้สึกไม่ง่วงและตื่นตัว
14. กาแฟช่วยลดความรู้สึกหนาวได้เนื่องจากคาเฟอีน (caffeine)
15. ลดการเกิดโรคหืด
16. ลดอาการปวดหัว บ่อยครั้งที่คาเฟอีน (caffeine) ถูกใช้เป็นยาแก้ปวดหัวโดยเฉพาะอาการปวดหัวจากไมเกรน (migraine)
17. บรรเทาอาการปวด การดื่มกาแฟ 2 แก้วอาจช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้อหลังจากการออกกำลังกายได้ประมาณ 58% ยาแก้ปวดหลายประเภทมีการผสมคาเฟอีน (caffeine) 65 mg เช่น aspirin, ibuprofen, acetaminophen และคาเฟอีน (caffeine) สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้ 40%
18. ช่วยทำให้อารมณ์แจ่มใสขึ้น คาเฟอีน (caffeine) ที่ดื่มเข้าไปจะช่วยคลายความเครียดและทำให้อารมณ์แจ่มใสขึ้น
19. ช่วยให้ความสามารถทางการกีฬาสูงขึ้น เพราะคาเฟอีน (caffeine) มีฤทธิ์ช่วยเพิ่มความทนทานและประสิทธิภาพของกล้ามเนื้อ
20. ป้องกันฟันผุ สารประกอบที่มีชื่อว่า Trigonelline ซึ่งเป็นสารที่ทำให้กาแฟมีกลิ่นหอมและรสขม มีประสิทธิภาพช่วยป้องกันแบคทีเรีย และการก่อตัวของแบคทีเรีย โดยเหตุผลนี้กาแฟจึงช่วยป้องกันฟันผุได้
ถึงแม้ว่ากาแฟจะมีสารที่มีประโยชน์มากมายแต่สารประกอบบางอย่างที่อยู่ในกาแฟอาจส่งผลกับแต่ละคนต่างกัน ดังนั้นถ้าเกิดเรามีปัญหาท้องเสียกับการดื่มกาแฟ หรืออาการอื่นๆ ก็สามารถดื่มชาแทนได้
ประโยชน์มากมายขนาดนี้ แวะมาดื่มแก้หนาวที่ร้านเราได้เลยคร้าบ




ภาพจาก: shutterstock

ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170027
ตอบกลับ #74 23 กันยายน 2015, 22:56:56น.



ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170027
ตอบกลับ #75 23 กันยายน 2015, 22:57:22น.



ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170027
ตอบกลับ #76 23 กันยายน 2015, 22:57:48น.



ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170027
ตอบกลับ #77 23 กันยายน 2015, 22:58:14น.




ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170027
ตอบกลับ #78 23 กันยายน 2015, 22:58:46น.



ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170027
ตอบกลับ #79 23 กันยายน 2015, 22:59:10น.



ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170027
ตอบกลับ #80 23 กันยายน 2015, 22:59:54น.



ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170027
ตอบกลับ #81 25 กันยายน 2015, 21:28:56น.


ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170027
ตอบกลับ #82 21 ตุลาคม 2015, 22:07:13น.




ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170027
ตอบกลับ #83 21 ตุลาคม 2015, 22:08:22น.



ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170027
ตอบกลับ #84 21 ตุลาคม 2015, 22:08:52น.



ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170027
ตอบกลับ #85 21 ตุลาคม 2015, 22:09:28น.



ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170027
ตอบกลับ #86 25 ตุลาคม 2015, 15:15:31น.


รู้หรือไม่...ตัดเล็บอย่างไรให้ดวงดี






เวลาที่เหมาะสมที่สุดในการตัดเล็บ คือ หลังจากอาบน้ำหรือหลังจากที่มือของคุณเปียกหมาดๆ เพราะช่วงเวลานั้นเล็บของคุณจะมีความอ่อนนุ่ม จะทำให้สามารถตัดเล็บได้ง่ายขึ้น

           Tip นำเล็บไปเเช่น้ำอุ่น ทิ้งไว้ประมาณ 3-4 นาที ก่อนตัดเล็บ

การตัดเล็บที่ถูกวิธี

           เล็บนิ้วมือ ตัดให้โค้งมนไปตามนิ้วมือ อย่าตัดให้สั้น จนชิดเนื้อมากเกินไป

           เล็บนิ้วเท้า ตัดให้เป็นเเนวตรง ป้องกันเเบคทีเลียเข้าไปสะสมในซอกเล็บ เป็นการป้องกันเล็บขบไปในตัว

ข้อควรระวัง

            อย่าใช้ของเเหลม ของมีคมงัดเเงะเล็บเพราะอาจทำให้เล็บเป็นเเผลเเละเกิดการอักเสบได้


นอกจากจะดูเเล "เล็บ" ให้สุขภาพดี ด้วยการตัดเล็บให้ถูกวิธีเเล้ว  วันนี้ มีเคล็ดเสริมดวงที่เกี่ยวกับการตัดเล็บมาฝากเพื่อนๆ กันด้วยค่ะ จะตัดเล็บทั้งทีก็ต้องดูวันมงคลกันหน่อยวันไหนตัดเเล้วดีหรือไม่ดียังไงไปดูกันเลยค่ะ

วันอาทิตย์ - ดี - หากคุณตัดเล็บในวันอาทิตย์จะช่วยเสริมดวงโชคลาภ ให้มีลาภลอยเข้ามาเเบบคาดไม่ถึง จะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับคุณ

วันจันทร์ - ดี - ตัดเล็บในวันนี้จะมีลาภก้อนใหญ่

วันอังคาร - ไม่ดี - ไม่ควรตัดเล็บในวันนี้เพราะเชื่อว่าเป็นวันดุ อาจจะทำให้คุณเสียเงิน เสียทอง

วันพุธ - ดี - ตัดเล็บในวันนี้จะช่วยปกป้องคุ้มครองคุณจากอันตรายต่างๆ

วันพฤหัสบดี - ไม่ดี - วันพฤหัสบดีเป็นวันครู ไม่ควรตัดเล็บในวันนี้เพราะจะทำให้ชีวิตของคุณเกิดความยุ่งยาก มีอุปสรรคมากมาย

วันศุกร์ - ดี - วันศุกร์เป็นวันดี ตัดเล็บวันนี้จะทำให้คุณมีลาภผลเพิ่มพูน

วันเสาร์ - ไม่ดี - หากตัดเล็บในวันเสาร์เชื่อว่าจะทำให้สุขภาพของคุณย่ำเเย่ โรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน



ขอบคุณสาระความรู้จาก DeeDaily


 m|y m|y

ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170027
ตอบกลับ #87 18 พฤศจิกายน 2015, 20:56:07น.




 y|o y|o y|o

ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170027
ตอบกลับ #88 26 พฤศจิกายน 2015, 22:07:27น.




 S|d'

ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170027
ตอบกลับ #89 29 มกราคม 2016, 18:49:56น.




 lv: lv: lv:

 

เว็บไซต์ในเครือข่ายอภิโชค : apichokeonlin.com | apichoke.net | apichoke.biz | apichoke.me | apichoke.org | apichoke.info
"ศาสตร์ของการคำนวณหวย สถิติหวยความน่าจะเป็น บนเว็บนี้ เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน-นักคำนวณ และบุคคลทั่วไปตลอดจนเลขจากไสยศาสตร์ต่างๆ การที่ใครจะถูกสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือถูกหวย รวยด้วยหวย ก็เป็นเพียงแต่ การเสี่ยงโชค เสี่ยงดวง เท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ และไม่ควรงมงาย หากต้องการเสี่ยงโชค ซื้อหวย เล่นหวย ก็ขอให้ เสี่ยงโชคแต่พอเพียงตามกำลังของตนเอง อย่าซื้อเกินกำลังอาจทำให้เดือนร้อนได้"
คำเตือน : อย่าหลงเชื่อหากมีผู้อ้างตนเป็นอาจารย์ดังสามารถให้หวยถูก100%หรือให้ถูกทุกงวดแน่นอน หรืออวดอ้างว่ารู้จักกับเจ้าหน้าที่กองสลาก แล้วเรียกเก็บเงินจากท่าน
ข้อมูลในเว็บนี้ใช้ประกอบเสี่ยงโชคสำหรับซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลเท่านั้น ไม่สนับสนุนหวยที่ผิดกฏหมาย