"หวยซอง เลขเด็ด เขียนโดยสาธารณชน เป็นการเสนอแนะเพื่อเสี่ยงโชคซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ถูกกฎหมายเท่านั้น ไม่มีการขายหวยทุกชนิด และ ไม่มีใครทราบว่าหวยจะออกตัวไหน โปรดใช้วิจารณญาณ"

เรื่อง: สมุนไพรใกล้ตัว
 
 11340

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170018
26 มิถุนายน 2015, 18:49:07น.




 |"@ |"@ |"@


ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170018
ตอบกลับ #1 26 มิถุนายน 2015, 18:51:11น.




ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170018
ตอบกลับ #2 26 มิถุนายน 2015, 18:51:50น.



ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170018
ตอบกลับ #3 26 มิถุนายน 2015, 18:52:17น.



ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170018
ตอบกลับ #4 26 มิถุนายน 2015, 18:52:41น.



หวยซอง เลขเด็ด อภิโชควิเคราะห์เลขรวย หวยรัฐบาล : Apichoke.net

Re: สมุนไพรใกล้ตัว
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2015, 18:52:41น. »

ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170018
ตอบกลับ #5 26 มิถุนายน 2015, 18:53:09น.



ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170018
ตอบกลับ #6 26 มิถุนายน 2015, 18:54:02น.


ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170018
ตอบกลับ #7 26 มิถุนายน 2015, 18:54:53น.



ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170018
ตอบกลับ #8 26 มิถุนายน 2015, 18:55:44น.



ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170018
ตอบกลับ #9 26 มิถุนายน 2015, 18:56:52น.



ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170018
ตอบกลับ #10 26 มิถุนายน 2015, 22:40:07น.
สมุนไพร

สมุนไพรใกล้ตัว

เพ็ญศรี นันทสมสราญ
จากจดหมายข่าวชมรมผู้สูงอายุ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

พืชสมุนไพรเป็นพืชที่คนไทยรู้จักกันมานาน และมีการนำมาใช้เป็นเครื่องยา อาหาร เครื่องสำอาง และอื่น ๆ การประกอบอาหารมีการใช้พืชสมุนไพร เครื่องเทศ และผักสวนครัว มาใช้ในชีวิตประจำวันจำนวนหลายชนิด เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด กะเพรา โหระพา ใบแมงลัก

การปลูกพืชสมุนไพรที่เป็นไม้ล้มลุกหรือผักสวนครัว ทำได้เช่นเดียวกับการปลูกพืชทั่วๆ ไป แต่สิ่งสำคัญคือ สรรพคุณที่จะนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันและเป็นภูมิปัญญาไทยที่มีความสำคัญ และมีเทคนิคการใช้ ผู้เขียนหวังว่าคงจะเป็นประโยชน์พอสมควรต่อผู้อ่านซึ่งเป็นผู้บริโภคที่ได้ใกล้ชิดกับต้นไม้ใบหญ้า พืชสมุนไพรใกล้ตัวที่จะนำเสนอมีดังนี้

กระเจี๊ยบแดง

กระเจี๊ยบแดง มีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น กระเจี๊ยบเปรี้ยว (ภาคกลาง) ส้มพอเหมาะ ผักเก็งเค็ง (ภาคเหนือ) ส้มพอดี (ภาคอีสาน) ส้มตะเลงเครง (ตาก) ใบส้มม่า (ระนอง) ส้มปู (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน)

สรรพคุณ :

เมล็ด เป็นยาแก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ดีพิการ ขับปัสสาวะ
ทั้งต้น เป็นยาฆ่าตัวจี๊ด เตรียมโดยนำมาใส่หม้อต้ม น้ำ 3 ส่วน เคี่ยวไฟให้งวดเหลือ 1 ส่วน ผสมกับน้ำผึ้งครึ่งหนึ่ง รับประทานวันละ 3 เวลา หรือรับประทานน้ำยาเปล่าๆ จนหมด
กลีบเลี้ยง ชงกับน้ำรับประทานเพื่อลดความดัน ลดไขมันในเส้นเลือด ทำแยม
กระเจี๊ยบเขียว

กระเจี๊ยบเขียว มีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น มะเขือทวาย มะเขือมอญ

สรรพคุณ :

ผลแห้ง ป่นนำมาชงกับน้ำ กินบำบัดโรคกระเพาะอาหาร มีเพคตินและสารเมือกช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร แก้ไอ บำรุงกำลัง
ผลอ่อน เป็นยาหล่อลื่น ใช้ในโรคหนองใน
ดอก ลดไขมันในเลือด ลดอุณหภูมิในร่างกาย แก้กระหายน้ำ
กระชาย

กระชาย มีชื่ออื่นๆ เช่น ว่านพระอาทิตย์ (กรุงเทพฯ) ละแอน (ภาคเหนือ) กะแอน ขิงทราย (แม่ฮ่องสอน) จี๊ปูชีพู (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน) เป๊าะสี่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)

สรรพคุณ :

เหง้า เป็นยาแก้โรคปากเปื่อย ปากเป็นแผล ปากแห้ง ขับระดูขาว ขับปัสสาวะ รักษาโรคบิด แก้ปวดมวนท้อง
ราก (นมกระชาย) มีรสเผ็ดร้อน ขม มีสรรพคุณคล้ายโสม แก้กามตายด้าน บำรุงความรู้สึกทางเพศ ทำให้กระชุ่มกระชวย โดยใช้นมกระชายตำและหัวดองสุรา

จากการทดลอง พบว่าใช้สารสกัดแอลกอฮอล์และคลอโรฟอร์มมีฤทธิ์ต้านเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังและแผลในปากได้ดีพอสมควร
กระถิน

กระถิน มีชื่ออื่นๆ เช่น กระถิ่น (ภาคกลาง) บุหงาอินโดนีเซีย (กรุงเทพฯ) กระถินหอม ดอกคำใต้ คำใต้มอนคำ (ภาคเหนือ) มอนคำ (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน) ถิน (ภาคใต้) บุหงาเซียม (มลายู-ภาคใต้) บุหงาละสะมะนา (มลายู-ปัตตานี) เกากรึนอง (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี)

สรรพคุณ :

ราก มีรสเฝื่อนฝาด กินเป็นยาอายุวัฒนะ ทาแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย ต้มน้ำอมแก้ปวดฟัน แก้อักเสบ
ยาง เข้ายาแก้ไอ บรรเทาอาการระคายคอ
ใบอ่อน ตำพอกแก้แผลเรื้อรัง
ดอก ชงดื่ม แก้อาหารไม่ย่อย ดองเหล้าดื่ม แก้ปวดท้อง
กล้วยน้ำว้า

กล้วยน้ำว้า มีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น กล้วยมะลิอ่อง (จันทบุรี) กล้วยใต้ (เชียงใหม่,เชียงราย) กล้วยอ่อง (ชัยภูมิ) กล้วยตานีอ่อง (อุบลราชธานี)

สรรพคุณ :

ผลดิบ ใช้รักษาอาการท้องเสียและบิด
ผลสุก เป็นยาระบายอ่อน ๆ
หัวปลี เป็นยาแก้ร้อนใน กระหายน้ำ โรคโลหิตจาง บำรุงน้ำนม แก้โรคเกี่ยวกับลำไส้ ลดน้ำตาลในเส้นเลือด
กะเพรา

กะเพรา มีชื่อเรียกอื่น ๆ เช่น กะเพราขน กะเพราขาว กะเพรา (ภาคกลาง) กอมก้อ กอมก้อดง (เชียงใหม่) อีตู่ไทย (ภาคอีสาน)

สรรพคุณ :

ใช้ทั้งต้น เป็นยาขับลม แก้ปวดท้อง และคลื่นไส้อาเจียน
รากและต้น มีรสเผ็ดร้อน แก้พิษตาซาง แก้ไข้สันนิบาต แก้ท้องขึ้น ท้องอืด ท้องเฟ้อ บำรุงธาตุ
ใบ มีรสเผ็ดร้อน บำรุงไฟธาตุ แก้ปวดท้อง ขับผายลม ทำให้เรอ แก้จุกเสียด แก้คลื่นไส้อาเจียน น้ำคั้นจากใบกินขับเหงื่อ แก้ไข้ ขับเสมหะ ทาผิวหนัง แก้กลากเกลื้อน ใบสดหรือแห้ง ชงกับน้ำร้อน ดื่มบำรุงธาตุ ขับลมในเด็กอ่อน
เมล็ด มีรสเผ็ด กินบำรุงเนื้อหนังให้ชุ่มชื้น
ขมิ้นชัน

ขมิ้นชัน มีชื่ออื่นๆ เช่น ขมิ้น (ภาคกลาง, ภาคใต้) ขมิ้นแกง ขมิ้นหยวก ขมิ้นหัว (เชียงใหม่) ขี้หมิ้น (ภาคใต้)

สรรพคุณ :

เหง้าสด เป็นยารักษาโรคเหงือกบวมเป็นหนอง รักษาแผลสด แก้โรคกระเพาะ แก้ไข้คลั่งเพ้อ แก้ไข้เรื้อรัง ผอมเหลือง แก้โรคผิวหนัง แก้ท้องร่วง แก้บิด พอกแผล แก้เคล็ดขัดยอก ขับผายลม คุมธาตุ หยอดตา แก้ตาบวม ตาแดง ทาแก้แผลถลอก แก้โรคผิวหนังผื่นคัน แก้ท้องอืดเฟ้อ รักษาแผลในกระเพาะอาหาร
เหง้าแห้ง บดเป็นผงเคี่ยวกับน้ำมันพืช ทำน้ำมันใส่แผลสด ผสมน้ำ ทาผิว แก้เม็ดผดผื่นคัน สารสกัดจากเหง้าแห้ง ป้องกันออกซิเดชั่น ชะลอความแก่ของผิวหนัง ทำครีมทาผิว
ข่า

ข่า มีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น กฎุกโรหินี (ภาคกลาง) ข่าตาแดง ข่าหยวก ข่าหลวง (ภาคเหนือ) เสะเออเคย สะเอเชย (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)

สรรพคุณ :

เหง้าแก่สดหรือแห้ง มีรสเผ็ดร้อน ขม แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และปวดท้อง ใช้รักษาโรคผิวหนัง (เกลื้อน) แก้โรคบิด แก้ปวดเจ็บเสียดท้อง แก้ท้องอืดเฟ้อ แก้ไฟลวก น้ำร้อนลวก แก้ลมพิษ และโรคลมป่วง แก้สันนิบาตหน้าเพลิง ตำกับน้ำมะขามเปียกและเกลือให้สตรีกินหลังคลอดเพื่อขับน้ำคาวปลา
หน่อ มีรสเผ็ดร้อน หวาน แก้ลมแน่นหน้าอก บำรุงไฟธาตุ
ขิง

ขิง มีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น ขิงแกลง ขิงแดง (จันทบุรี) ขิงเผือก (เชียงใหม่) สะเอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)

สรรพคุณ :

ราก มีรสหวาน เผ็ดร้อน ขม แก้ลม บำรุงเสียง แก้พรรดึก แก้คอมีเสมหะ เจริญอาหาร
เหง้า มีรสเผ็ดร้อน ใช้เหง้าแก่ทุบหรือบดเป็นผง ชงน้ำดื่มแก้คลื่นไส้อาเจียน แก้จุกเสียดแน่นเฟ้อ
เหง้าสด ตำคั้นน้ำผสมน้ำมะนาวและเกลือเล็กน้อย จิบแก้ไอ ขับเสมหะ ขับลม แก้ท้องอืด จุกเสียดแน่นเฟ้อ คลื่นไส้อาเจียน แก้หอบไอ ขับเสมหะ แก้บิด และเจริญธาตุ
ต้น มีรสเผ็ดร้อน ขับลมในลำไส้ แก้ท้องร่วง จุกเสียด
ใบ มีรสเผ็ดร้อน แก้ฟกช้ำ แก้นิ่ว แก้ขัดปัสสาวะ แก้โรคตา ฆ่าพยาธิ
แคบ้าน

แคบ้าน มีชื่อเรียกอื่นๆ ว่า แค แคบ้านดอกแดง แคขาว (ภาคกลาง) แคแดง (เชียงใหม่)

สรรพคุณ :

ราก น้ำคั้นจากรากผสมกับน้ำผึ้ง เป็นยาขับเสมหะ
เปลือกต้น มีรสฝาด ใช้รักษาท้องเดิน แก้บิด มูกเลือด คุมธาตุ ถ้ากินมากทำให้อาเจียน ใช้เป็นยาฝาดสมานทั้งภายนอกและภายใน ชะล้างบาดแผล
ใบ มีรสจืดมัน แก้ไข้เปลี่ยนฤดู ไข้หวัด ถอนพิษไข้ ดับพิษและถอนพิษอื่นๆ
ยอดอ่อน ใช้รักษาไข้หัวลม
ดอก มีรสหวานเย็น แก้ไข้เปลี่ยนฤดู
ชุมเห็ดเทศ

ชุมเห็ดเทศ มีชื่ออื่นเรียกว่า ขี้คาก ลับมืนหลวง หมากกะสิงเทศ (ภาคเหนือ) ชุมเห็ดใหญ่ ตะสีพอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)

สรรพคุณ :

ฝัก มีรสเอียน แก้พยาธิ เป็นยาระบายขับพยาธิตัวตืด พยาธิไส้เดือน
ใบ เป็นยาถ่าย รักษาขี้กลากและโรคผิวหนังอื่นๆ
ใบและดอก ทำยาต้มรับประทาน ขับเสมหะในรายที่หลอดลมอักเสบ และแก้หืด
เมล็ด มีกลิ่นเหม็น รสเอียนเล็กน้อย ใช้ขับพยาธิ แก้ตาซาง แก้ท้องขึ้น แก้นอนไม่หลับ
ตะไคร้

ตะไคร้ มีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น จะไคร้ (ภาคเหนือ) ไคร (ภาคใต้) ห่อวอตะไป่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) คาหอม (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน) หัวสิงโต (เขมร-ปราจีนบุรี)

สรรพคุณ :

เหง้า มีรสหอมปร่า แก้กระษัย แก้เบื่ออาหาร บำรุงไฟธาตุ ขับลมในลำไส้ แก้ขัดปัสสาวะ แก้นิ่ว ดับกลิ่นคาว เจริญอาหาร
ใบ มีรสหอมปร่า แก้ไข้ ลดความดันโลหิต
ทั้งต้น มีรสหอมปร่า แก้ปวดท้อง หืด ขับปัสสาวะ ขับเหงื่อ และบำรุงธาตุ
ตำลึง

ตำลึง มีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น ผักแคบ(ภาคเหนือ) แคเด๊าะ(กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)

สรรพคุณ :

ราก มีรสเย็น แก้ตาขึ้นฝ้า ดับพิษทั้งปวง แก้ไข้ แก้อาเจียน ต้มน้ำกินเป็นยาระบาย
หัว มีรสเย็น ดับพิษทั้งปวง
ใบ มีรสเย็น ปรุงเป็นยาดับพิษร้อน เช่น ยาเขียว ใบสดตำให้ละเอียด
ทับทิม

ทับทิม มีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า มะเก๊าะ(ภาคเหนือ) พิลา(หนองคาย) พิลาขาว มะก่องแก้ว(น่าน) หมากจัง(เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน) เขียะลิ้ว(จีน)

สรรพคุณ :

เปลือกผลแก่ ตากแห้งรักษาอาการท้องร่วง ฝนกับน้ำข้นๆ กินวันละ 1-2 ครั้ง กินมากเป็นอันตรายได้ หรือฝนกับน้ำทาแก้น้ำกัดเท้า
ราก ใช้ฆ่าพยาธิตัวตืด
น้ำทับทิม (จากเนื้อหุ้มเมล็ด) ใช้ลดความดันโลหิต ใช้ร่วมกับบัวบก ลดภาวะโรคเหงือก
สะระแหน่

สรรพคุณ :

ทั้งต้นสด กินเป็นยาขับลม ขยี้ทาขมับแก้ปวดหัว แก้ปวดท้อง จุกเสียด แน่นเฟ้อ ดมแก้ลม ทาแก้ฟกช้ำ บวม
บัวบก

บัวบก มีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า ผักหนอก (ภาคเหนือ) ผักแว่น (ภาคใต้)

สรรพคุณ :

ทั้งต้น มีรสหอมเย็น แก้ช้ำใน แก้อ่อนเพลีย ขับปัสสาวะ รักษาบาดแผล แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้โรคปวดศีรษะข้างเดียว (ไมเกรน) แก้โรคเรื้อน แก้กามโรค แก้ตับอักเสบ บำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง
ใบ มีรสขม เป็นยาดับร้อน ลดอาการอักเสบบวม แก้ปวดท้อง แก้บิด แก้ดีซ่าน ใบต้มกับน้ำซาวข้าวกินแก้นิ่วในทางเดินปัสสาวะ ตำพอกหรือต้มน้ำกินแก้ฝีหนอง แก้หัด ต้มกับหมูเนื้อแดงกินแก้ไอกรน
เมล็ด มีรสขมเย็น แก้บิด แก้ไข้ แก้ปวดศีรษะ





ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170018
ตอบกลับ #11 26 มิถุนายน 2015, 22:41:22น.

สมุนไพร

สมุนไพรเพื่อวัยสูงอายุ

เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ
ภัทราพร ตั้งสุขฤทัย

ความสูงอายุเป็นผลรวมของพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตมนุษย์นับตั้งแต่เกิดจนสิ้นอายุขัย คำว่า ผู้สูงอายุมักใช้เรียกบุคคลที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ที่ใกล้เข้าสู่วัยนี้มักจะพบกับความเปลี่ยนแปลง ความเสื่อมถอยทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม แต่ในทฤษฎีการแพทย์แผนไทย ได้แบ่งอายุคนเป็น 3 วัย คือ

ปฐมวัย อายุ   0 – 16 ปี
มัชฉิมวัย   อายุ   16 – 32   ปี
ปัจฉิมวัย   คืออายุตั้งแต่ 32 ปี จนสิ้นอายุขัย

จากการแบ่งดังกล่าวจะเห็นว่าผู้ที่มีอายุ 32 ปีขึ้นไปอยู่ในวัยสูงอายุ ซึ่งต้องเตรียมร่างกาย จิตใจ ให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น แม้ว่าจะดูว่าอายุเพียงแค่นี้ยังแข็งแรงอยู่ แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งการดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาท ตั้งแต่อายุน้อย ๆ จะทำให้ชีวิตปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติที่ควร จะเป็นไปได้ดีกว่า การดำรงชีวิตที่ขาดเป้าหมายที่ดี พอเข้าสู่วัยสูงอายุแล้วมาแก้ไขปัญหาก็พบว่า สายเสียแล้ว

การแพทย์แผนไทย แม่ว่าจะดูไม่ทันสมัยนัก แต่ถ้ามองกันลึก ๆ แล้วมีความละเอียดอ่อนลึกซึ้ง ที่น่าสนใจ และไม่ได้แตกต่างจากกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มากนัก ถ้าเราผสมผสานกันระหว่างการใช้ชีวิตและแบบใหม่และแบบดั้งเดิมให้เหมาะสม เราจะมีสุขภาพทางจิตที่ดี

อย่างไรก็ตามเราก็คงจะหลีกเลี่ยงวัยสูงอายุไม่ได้แม้ว่าจะแบ่งแบบเก่าหรือใหม่ เราจะต้อง พบกับความเปลี่ยนแปลงของร่างกายแน่นอน สถาบันการแพทย์แผนไทยจึงได้ตระหนักถึงการดูแล สุขภาพของผู้สูงอายุ ในฉบับนี้จึงขอนำเสนอสมุนไพรเพื่อวัยสูงอายุ และผู้ที่ใกล้เข้าสู่วัยสูงอายุ โดย แบ่งเป็นกลุ่มอาการดังนี้

สมุนไพรบำรุงกระดูก

เนื่องจากผู้สูงอายุมักพบปัญหาเกี่ยวกับการสูญเสียแคลเซี่ยมที่กระดูก ทำให้ความแข็งแรงของกระดูกลดลง กระดูกเปราะและหักง่าย ดังนั้นหลักในการดูแลทั่วไปคือให้ร่างกายได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอ โดยเฉลี่ยประมาณวันละ 800 มิลลิกรัม

อาหารที่ควรรับประทาน ได้แก่ นม ปลาป่น หรือปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง นอกจากนี้ยังมีผักใบเขียวหลายชนิดที่มีปริมาณแคลเซียมสูง และหาง่าย ราคาถูก ได้แก่

ใบยอ มีแคลเซียม 469-841 มิลลิกรัม/100 กรัม ในใบยอมีสรรพคุณทางยาไทย รสขม แก้ไข้ บำรุงธาตุ แก้ท้องร่วง แก้ปวดข้อ ใบยอนำมาประกอบอาหารได้หลายชนิด เช่น ห่อหมก แกงอ่อมแกงป่า เป็นต้น
ช้าพลู มีแคลเซียม 601 มิลลิกรัม/100 กรัม นอกจากนี้ในใบช้าพลูยังมีฟอสฟอรัส เหล็ก และวิตามินต่าง ๆ

ข้อควรระวัง ไม่ควรรับประทานใบช้าพลูทุกวัน เพราะในใบช้าพลูมีสารออกซาเลท สูงถึง 691 มิลลิกรัม/100 กรัม ถ้ารับประทานปริมาณมากจะทำให้เกิดโรคนิ่วได้
มะขาม ฝักมะขามอ่อน มีแคลเซียม 429 มิลลิกรัม/100 กรัม ใช้ปรุงอาหารได้ หลายชนิด เช่น น้ำพริก ใส่ต้มยำ ยอดอ่อนใช้ปรุงแกง

สรรพคุณตามตำรายาไทย ช่วยระบาย ขับเสมหะ แก้ไอ บำรุงกระดูก ป้องกัน โรคเลือดออกตามไรฟัน
แค ในยอดแคมีแคลเซียม 395 มิลลิกรัม/100 กรัม ยอดแคนำมาเป็นผักจิ้มกับน้ำพริกได้ทั้งกินสดหรือลวก ดอกแคใช้แกงส้ม

สรรพคุณตามตำรายาไทย ยอดและดอกใช้แก้ไข้หัว เปลือกต้นใช้แก้ท้องเสีย น้ำต้มจากเปลือกใช้ล้างบาดแผล
ผักกะเฉด ใบและลำต้นมีแคลเซียม 387 มิลลิกรัม/100 กรัม ใช้รับประทานเป็นผัก ใช้ปรุงแกงส้ม และยำ นอกจากนี้ในลำต้นสด ซึ่งมีโปรตีนสูง 6.4 มิลลิกรัม/100 กรัม

สรรพคุณตามตำรายาไทย ผักกะเฉดมีรสเย็น ช่วยบรรเทาความร้อน ใช้ดับพิษร้อนถอนพิษไข้ ถอนพิษยาเบื่อเมา บำรุงกระดูก

สมุนไพรบำรุงสายตา

จากความเสื่อมถอยของร่างกาย ผู้สูงอายุมักจะพบปัญหาโรค ทางสายตามาก เช่น ตาฝ้าฟาง ตาเป็นต้อกระจก ต้อเนื้อ และขาดวิตามินหลายชนิด เนื่องจาก รับประทานอาหารได้น้อยลง หลักการดูแลทั่วไป คือ การรักษาตามอาการ การป้องกันที่ดีที่สุด คือ หลีกเลี่ยงการสัมผัสฝุ่น ควัน แสงแดดจัดโดยตรง การรับประทานอาหารที่มีวิตามินเอสูง จะช่วยบำรุงสายตาและป้องกันการเสื่อมของสายตาก่อนวันอันควร สมุนไพรที่บำรุงสายตา ได้แก่

กะเพรา ใบกะเพราประกอบสารอาหารที่สำคัญหลายชนิด เช่น เบต้าแคโรทีน วิตามินซี ไนอาซิน ฟอสฟอรัส เหล็ก และแคลเซียม ใบกะเพรามีเบต้าแคโรทีนสูง 7,857 ไมโครกรัม/100 กรัม ซึ่งเบต้าแคโรทีนนี้จะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในร่างกายของคนเรา กะเพรานำมาปรุงอาหารช่วย ดับกลิ่นคาว ช่วยชูรสให้ดีขึ้น เช่น ผัดกะเพรา ต้มยำ ผัดขี้เมา เป็นต้น

สรรพคุณตามตำรายาไทย กะเพราที่นิยมใช้คือกะเพราแดง รสเผ็ดร้อน ช่วยขับลม แก้ท้องอืดเฟ้อ ช่วยย่อย แก้อาการแน่นจุกเสียด แก้ปวดท้องทั้งเด็กและผู้ใหญ่
ขี้เหล็ก ใบขี้เหล็กมีเบต้าแคโรทีน 7,181 ไมโครกรัม/100 กรัม คนไทยนำใบและดอกขี้เหล็กมาต้มเพื่อให้หายรสขม นำมาแกงใส่ปลา หมู หรือหอยขม เป็นต้น

สรรพคุณตามตำรายาไทย ช่วยบำรุงสายตา ช่วยระบาย แก้ท้องผูก ช่วยให้นอนหลับดี
แครอท หัวแครอทมีสารเบต้าแคโรทีนสูง 6,994 ไมโครกรัม/100 กรัม ใช้ปรุงอาหารได้หลายชนิด เช่น แกงจืด ต้มน้ำซุป ผัดพริก หรือรับประทานเป็นสลัดผัก ช่วยแต่งสีสรรอาหารให้ น่ารับประทานยิ่งขึ้น

สรรพคุณตามตำรายาไทย ช่วยบำรุงสายตา ขับปัสสาวะเนื่องจากมีปริมาณเกลือ โปแตสเซียมสูง
ฟักข้าว ในยอดอ่อนของฟักข้าวมีเบต้าแคโรทีนสูง 4,782 ไมโครกรัม/100 กรัม นำยอดอ่อน ใบอ่อน และผลอ่อนมารับประทานเป็นผักจิ้ม แกงแค

สรรพคุณตามตำรายาไทย ใบใช้เป็นยาถอนพิษ ใช้ถอนพิษไข้ทั้งปวงได้

สมุนไพรช่วยเจริญอาหาร

ตามตำรายาไทยสมุนไพรช่วยเจริญอาหารมักจะมีรสขม ซึ่งเรียกว่า bitter tonic และสมุนไพรที่มีรสเผ็ดร้อน จะช่วยกระตุ้นให้น้ำลายและน้ำย่อยอาหารออกมามาก สมุนไพรช่วยเจริญอาหารได้แก่

สะเดา ช่อดอกและใบอ่อนมีรสขม ใช้รับประทานเป็นผักจิ้ม สะเดาน้ำปลาหวาน

สรรพคุณตามตำรายาไทย ช่วยแก้ไข้ บำรุงธาตุ รสขมของสะเดา ช่วยเจริญอาหาร นอกจากนี้ปัจจุบันใช้เป็นยาฆ่าแมลงในทางเกษตรกรรม
กระชาย ในรากและเหง้ากระชายมีน้ำมันหอมระเหย ช่วยแต่งกลิ่น

สรรพคุณตามตำรายาไทย ช่วยขับลม แก้ท้องอืด ช่วยเจริญอาหาร
พริกขี้หนู พริกส่วนใหญ่แล้วมีรสเผ็ดซึ่งมากน้อยแตกต่างกัน สารสำคัญในพริกขี้หนู คือ สารแคปไซซิน (capsaicin) ซึ่งทำให้พริกมีรสเผ็ด ในพริกมีวิตามินซี

สรรพคุณตามตำรายาไทย ช่วยเจริญอาหาร ขับลม ขับเสมหะ ช่วยขับเหงื่อ แก้ ปวดท้อง แก้อาเจียน และช่วยย่อย แต่สำหรับผู้ที่เป็นแผลในกระเพาะอาหาร ไม่ควรรับประทานพริก เพราะจะทำให้เกิดการระคายเคือง ทำให้กระเพาะอาหารอักเสบมากยิ่งขึ้น

สมุนไพรช่วยให้นอนหลับ

สมุนไพรที่ออกฤทธิ์ช่วยระงับประสาท และช่วยให้นอนหลับ มีหลายชนิด เช่น ขี้เหล็ก ระย่อม ชุมเห็ดไทย

ขี้เหล็ก เป็นพืชที่คนไทยนำมาปรุงเป็นอาหารตั้งแต่โบราณ โดยนำใบอ่อน ดอก มาต้มรินน้ำออกเพื่อให้หายขม นำมาแกงขี้เหล็กใส่หมู เนื้อและหอยขมเป็นต้น ปัจจุบันมีรายงานการวิจัยว่าขี้เหล็กมีสารสำคัญให้มีผลต่อระบบประสาทช่วนให้นอนหลับ โดยใช้ใบแห้งประมาณ 30 กรัม หรือใบสด 50 กรัม ต้มเอาน้ำดื่มก่อนนอน นอกจากนี้ใบขี้เหล็กยังมีวิตามินเอ และซีสูง ช่วยบำรุงกระดูก และสายตา

สรรพคุณตามตำรายาไทย ดอกตูมและใบอ่อน รสขม ช่วยระบาย เจริญอาหาร
ระย่อม เป็นพืชที่คนไทยและชาวอินเดียใช้เป็นยาลดความดันโลหิต ตามตำรายาไทยใช้รากระย่อมเป็นยาแก้ไข้ เจริญอาหาร แก้คลุ้มคลั่ง ลดความดันโลหิต และช่วยให้นอนหลับ

จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ พบว่าในรากระย่อมมีสารแอลคาลอยด์หลายชนิด ส่วนฤทธิ์ที่ช่วยลดระดับความดันโลหิต ได้แก่ เรเซอปีน (seserpine) วิธีใช้ ใช้ผงรากแห้งบดละเอียด รับประทานวันละ 100 มิลลิกรัม ก่อนนอน

สมุนไพรเสริมสรรถภาพทางเพศ

บำรุงกำลัง ในผู้สูงอายุด้วยสมรรถภาพทางกาย เสื่อมถอยการเสริมสมรรถภาพทางเพศนั้นเป็นเพียงการดูแลด้านจิตใจ ส่วนทางร่างกายนั้น ยังไม่มีงานวิจัยระบุชัดเจนว่ามีสมุนไพรชนิดใดกระตุ้นและเสริมสมรรถภาพทางเพศ การดูแลร่างกายให้แข็งแรง จิตใจเข้มแข็ง โดยการออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ทำใจให้สงบ ใช้ชีวิตชอบตามแนวพุทธศาสนา ปัญหาสมรรถภาพทางเพศเกิดได้ในวัยสูงอายุ ดังนั้น คนเราเมื่อเข้าใจธรรมชาติของร่างกายมนุษย์แล้ว การนำสมุนไพรมาใช้เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น สมุนไพรที่มีบันทึกตามตำรายาไทย มีหลายชนิด เช่น กวาวเครือ กระเทียม ดีปลี กระชาย มะเขือแจ้เครือ กำลังช้างสาร โด่ไม่รู้ล้ม ตะโกนา ม้ากระทืบโรง สะค้านแดง โสมไทย สันพร้าหอม เห็ดโคน เห็ดฟาง กำลังเสือโคร่ง ว่านนกคุ่ม สังกรณี หนาดคำ เป็นต้น

การออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การทำจิตใจให้แจ่มใส เป็นการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องที่สุด สมุนไพรที่กล่าวถึงข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการบำรุงธาตุ บำรุงกำลัง ตามตำราการแพทย์แผนไทยที่มีบันทึกไว้ ถึงอย่างไรสภาพร่างกายที่เสื่อมถอย ร่วงโรยตามวัย ยาใด จักช่วยท่านได้ถ้าจิตใจของท่านไม่สงบ ดังนั้นตามแนวพุทธศาสนา การทำสมาธิ ภาวนา จะช่วยให้จิตใจเป็นสุข ร่างกายก็จะสุขตามไปด้วยเช่นกัน



j|a j|a j|a

ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170018
ตอบกลับ #12 26 มิถุนายน 2015, 22:42:44น.

สมุนไพร

สมุนไพรไทย ต้านโรคมะเร็ง

ปัจจุบันมีประชาชนส่วนใหญ่ที่หันมาดูแลสุขภาพกันด้วยการออกกำลังกายหรือ แม้การกระทั่งการกินยาสมุนไพรเพื่อป้องกันโรคร้ายอย่างเช่นโรคมะเร็ง ได้มีการสรุปสถิติการเสียชีวิตของประชาชนในประเทศไทยจากโรคมะเร็งว่ามีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกวัน และกว่าที่เราจะรู้ตัวมันก็สายเกินไปที่จะรักษาได้

เราควรหันกลับมากินสมุนไพรไทยกันดีกว่า ถึงแม้ว่าจะมีรสขมแต่สรรพคุณของมันก็แสนจะวิเศษเพราะสามารถป้องการเกิดโรคมะเร็งได้ และที่สำคัญสามารถหารับประทานได้ง่ายเพราะมันมีอยู่ตามท้องถิ่น ราคาถูก มีผลข้างเคียงต่อร่างกายน้อยมาก ดีกว่าการรับประทานยาของแพทย์แผนปัจจุบันซึ่งจะมีผลข้างเคียงต่อร่างกายมากกว่าหลายเท่า ในสมัยนนี้มีการพัฒนาและแปรรูปผลิตภัณฑ์ของสมุนไพรมาเป็นในรูปของแค็ปซูล ทำให้สามารถรับประทานได้ง่ายขึ้น

สมุนไพรจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เราเลือกกินเพื่อสุขภาพ ถึงแม้ว่าการรับประทานสมุนไพรจะมีรส กลิ่นและสีที่ไม่น่ารับประทานหรือเห็นผลการรักษาที่ช้าก็ตามแต่มันมีความปลอดภัยและดีต่อสุขภาพมากกว่า การรับประทานยาที่มีสารสกัดจากเคมีจึงทำให้เด็กวัยรุ่นสมัยนี้มองข้ามและคิดว่าล้าสมัยแต่ถ้าเราลองเปลี่ยนความคิดดู เราจะเห็นได้ว่าสมุนไพรมันมีสรรพคุณที่มหาศาลทั้งแสนมหัศจรรย์เพราะสามารถรักษาโรคได้สารพัด และมีประโยชน์อีกมากมายซึ่งในประเทศไทยมีสมุนไพรหลายตัวที่นำมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง

กระเทียม

เมื่อเราพูดถึงกระเทียมเราจะนึกออกได้ว่ามันจะมีกลิ่นที่ฉุนซึ่งถ้ารับประทานเข้าไปมากๆก็จะทำให้มีกลิ่นปากหรือแม้กระทั่งกลิ่นกระเทียมที่มาติดมือ ความรู้สึกเหล่านี้ทำให้บางคนกลัวว่าคนที่อยู่รอบข้างจะไม่ชอบเพราะมันมีกลิ่นที่ฉุน กระเทียมหรือชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า อัลเลียม ซาติวัม (Allium sativum) ที่มาจากภาษาเซลติก เป็นสายพันธ์พืชเก่าที่มีข้อเสียเพียงข้อเดีย คือ มีกลิ่นอันแสนร้ายกาจที่ฉุนเอามากๆ แต่ภายกลิ่นอันแสนฉุนนั้นมันแฝงไปด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัว

กระเทียมเป็นพืชล้มลุกที่มีลำต้นใต้ดินเรียกว่า “ หัว ”สารสำคัญในกระเทียม คือ อัลลิซิน เป็นสารที่ให้กลิ่นและรสในกระเทียม,เควอร์เซตินและแคมป์ฟีรอล เป็นสารฟลาโวฟอยล์พบมากในหัวหอมใหญ่ ผลแอปเปิล ต้นกระเทียม ผลฝรั่ง ชาขาว มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ ลดและชะลอความเสียหายของเซลล์ และอวัยวะในร่างกายจากการทำลายอนุมูลอิสระ,ซีลีเนียม เป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่จำเป็นต่อร่างกายแต่ต้องการในปริมาณน้อย เป็นสารอาหารที่ร่างกายขาดไม่ได้จะทำหน้าที่คล้ายวิตามินอี เป็นตัวต้านไม่ให้ออกซิเจนหลุดออกจากเม็ดเลือดแดงและทำให้เลือดบริสุทธิ์สามารถป้องกันโรคหัวใจได้, อัลลิไทอามีน เป็นวิตามิน บี ชนิดพิเศษช่วยบำรุงประสาทให้แข็งแรง สามารถทำงานได้อย่างปกติ

ในตำราโบราณอ้างว่ากระเทียมสามารถรักษาโรคมะเร็งได้ เช่น ฮิปโปรเครติส เขียนไว้ในตำราแพทย์ว่า กระเทียมใช้รักษาโรคมะเร็งที่มดลูก และตำรา Bower Manuscript (ค.ศ.450) ของอินเดียใช้กระเทียมรักษามะเร็งในกระเพาะอาหาร เป็นต้น นักวิทยาศาสตร์สหรัฐยืนยันผลการศึกษาล่าสุดว่า กระเทียมสามารถป้องกันโรคมะเร็งบางชนิดได้ โดยคณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยนอร์ธแคโรไลนา กล่าวว่า ผู้ที่รับประทานกระเทียมดิบ หรือกระเทียมที่มีการปรุงให้สุกแล้ว สามารถลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารได้ครึ่งหนึ่ง และที่สำคัญกระเทียมยังสามารถลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งในลำไส้ได้ถึง 2 ใน 3 และไม่มีผลข้างเคียงต่อร่างกายเลย

บอระเพ็ด

ถ้าเรานึกถึงสมุนไพรอย่างบอระเพ็ดคนที่เคยกินจะบอกเป็นคำเดียวกันว่า ขมมากมากจนสามารถทำให้เด็กหย่านมแม่ได้ขาด และด้วยความขมของมันทำให้คนสมัยก่อนเชื่อว่าเป็นยาอายุวัฒนะ ซึ่งการนำบอระเพ็ดมารับประทานบางคนก็จะเคี้ยวสดๆ บางคนก็ทำเป็นยาลูกกลอนผสมกับน้ำผึ้งทำให้เรารับประทานง่ายขึ้น

บอระเพ็ดเป็นไม้เลื้อยเนื้ออ่อนเถาอ่อนผิวเรียบบสีเขียว เถาแก่สีน้ำตาลอมเขียว ผิวขรุขระ เป็นปุ่มๆยางมีรสขมจัด สารสำคัญในบอระเพ็ด คือ พิโครเรติน ( picroretin ) เป็นสารที่ทำให้บอระเพ็ดมีรสขม และเอ็นทรานส์เฟรูโลอิลไทรามีน (N-trans-feruloyltyramine) มีสรรพคุณช่วยในการระงับความร้อนได้ดี สามารถลดอาการไข้ ลดคอเลสเตอรอล ลดน้ำตาลในเลือด และช่วยต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นที่มาของโรคมะเร็ง

บอระเพ็ดมีสาร 2 ชนิดที่สามารถยับยั้งการเกิดมะเร็งได้ ซึ่งสารชนิดนี้มีอยู่ในเถาของบอระเพ็ด ได้แก่ สารพิโครเรตินและสารเอ็นทรานส์เฟรูโลอิลไทรามีน มีสรรพคุณในการต้านอนุมูลอิสระอันเป็นสารก่อมะเร็งโดยมีฤทธิ์ยับยั้งมะเร็งในเม็ดเลือด มะเร็งในท่อน้ำดี เป็นต้น

พลูคาว

เป็นสมุนไพรท้องถิ่นที่พบในประเทศต่างๆ แถบเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในอินโดจีน และประเทศไทยทางภาคเหนือ โดยจะมีลักษณะที่แตกต่างจากพลูชนิดอื่นๆ คือที่ใต้ใบของพลูคาวจะมีสีแดงอ่อนไปจนถึงสีแดงเข้ม ชาวบ้านในภาคเหนือเรียกสมุนไพรชนิดนี้ว่า “ผักคาวตอง”

ตำราไทยโบราณ ใช้ใบพลูคาวแก้กามโรค หนองใน เป็นแผลเปื่อยผุพองทำให้น้ำหนองแห้ง แก้โรคผิวหนัง ผอกฝี เป็นต้น สารสำคัญในพลูคาว คือ น้ำมันหอมระเหย สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ สารกลุ่มแอลคาลอยด์ ที่สำคัญพลูคาวยังสามารถรักษาโรคมะเร็งได้อีกด้วย ซึ่งรายงานการวิจัยฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของสมุนไพรพลูคาวพบว่ามีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการสลายตัวของโปรตีนและป้องกันการแพ้ชนิดรุนแรงได้ โดยฤทธิ์ดังกล่าวจะส่งผลต่อการรักษาโรคมะเร็งได้และมีฤทธิ์ในการทำลายเซลล์มะเร็งเช่น เซลล์มะเร็งปอด เซลล์มะเร็งรังไข่ เป็นต้น

หากผู้ป่วยดื่มน้ำต้มพลูคาวบำรุงร่างกายสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายผู้ป่วยมะเร็งได้ ทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้มาก ทำให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้นและยืดอายุของผู้ป่วยได้นานกว่าการรักษาโดยแพทย์ปัจจุบัน

สมอไทย

เป็นสมุนไพรธรรมดาๆชนิดหนึ่ง ซึ่งมีตำนานเล่าขานกันมาช้านานถึงต้นกำเนิดของสมอไทยอันศักศิทธิ์ว่า ครั้งหนึ่งพระอินทร์กำลังเสวยน้ำอมฤตแล้วบังเอิญน้ำอมฤตหยดหนึ่งหกลงมาบนพื้นโลกกลายเป็นต้นสมอไทย มีสรรพคุณรักษาได้สารพัดโรคและที่สำคัญมันมีความพิเศษกว่าสมุนไพรชนิดอื่นคือเป็นสมุนไพรที่มีเกือบทุกรส ได้แก่ รสเปรี้ยว หวาน ฝาด ขมเผ็ด แถมยังมีรสเค็มและรสเมาแทรกอีกต่างหาก เห็นแล้วใช่ไหมว่าลูกสมอไทยมีความวิเศษสมยานามจริงๆ

สารสำคัญในสมอไทย ได้แก่ สารแอนทราควิโนน ในผลอ่อนมีฤทธิ์เป็นยาระบายเพื่อช่วยในการขับถ่าย, สารแทนนิน ในผลแก่ มีรสฝาดแต่จะมีฤทธิ์เป็นยาช่วยในการสมานแผล สมอไทยกับการรักษาโรคมะเร็ง จากการค้นคว้าวิจัยและทดลองด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์แล้วพบว่าสารสำคัยตัวหนึ่งในลูกสมอไทย เมื่อทำการสกัดออกมาด้วยเมทานอล 70 % จะมีฤทธิ์ยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้ถึง 92% และสามารถทำให้เซลล์มะเร็งตายได้ ซึ่งเป็นสารสกัดที่พบในพืชสกุล terminalia จึงสามารถยืนยันได้เลยว่า การกินสมอไทยสามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดมะเร็งได้

มีการรับรองจาก คณะแพทย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่าลูกสมอไทยมีฤทธิ์ในการยับยั้งและสามารถทำลายเซลล์มะเร้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ 100% และถ้านำลูกสมอมาใช้ร่วมกับลูกสมอพิเพก และลูกมะข้ามป้อมที่เรียกร่วมกันว่า “ตรีผลายา” จะยิ่งมีประสิทธิภาพในการเซลล์มะเร็งได้มากยิ่งขึ้น และสมุนไพรตัวต่อมา

ทองพันชั่ง

เป็นพืชที่ไม่ชอบร่มเงามากนัก ทางการแพทย์แผนโบราณได้ใช่ทองพันชั่งในการรักษาโรคตับอักเสบ โรคผิวหนัง พุพอง น้ำเหลืองเสีย แก้ปวดกระดูก เป็นต้น เพราะในทองพันชั่งงจะมีสารไรนาแคนทิน ที่สามารถยับยั้งแบคทีเรีย และเชื้อไวรัสได้ สารสำคัญในทองพันชั่งคือสารประกอบไรนาแคนทิน มีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็ง เชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัส

เกลือ เป็นสารที่ออกฤทธิ์ในสมุนไพรใช้เป็นยาเพื่อขับปัสสาวะ ส่วนการนำทองพันชั่งมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็งนั้นได้ทำการวิจัยทำการทดลอง สังเคราะห์สารอนุพันธ์แนพโทควิโนนเอสเทอร์ จากสารต้นแบบที่ได้จากต้นทองพันชั่ง โดยสารดั่งกล่าวมีฤทธิ์ในการยับยั้งมะเร็งเยื่อบุช่องปาก มะเร็งเต้านม และมะเร็งมดลูกได้สำเร็จ

ทั้งนี้ยังมีข้อควรระวัง คือ ห้ามผู้ป่วยโรคโลหิตจาง โรคหัวใจ โรคหืด โรคความดันโลหิตต่ำ โรคมะเร็งเม็ดเลือด และการรับประทานทองพันชั่งงให้นำใบทองพันชั่งดอกสีเหลือง ใบเลี่ยน ไปทำการตากแดดให้แห้งเสียก่อน จากนั้นก็นำไปคั่วแล้วชงเป็นน้ำชาเพื่อรับประทาน สามารถแก้โรคมะเร็งอีกขนานหนึ่งเลยทีเดียว

สมุนไพรทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น แต่สมุนไพรที่สามารถต้านโรคมะเร็งได้นั้นยังมีอีกหลายตัว และที่สำคัญยังเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ทุกคนจะหันมาดูแลสุขภาพกันให้ห่างไกลจากภัยโรคร้าย ถ้าเรารับประทานอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอก็จะช่วยให้เราสป้องกันโรคมะเร็งได้ ยังไม่สายเกินไปที่เราจะเห็นคุณค่าของยาวิเศษขนานนี้ และนี่คือความมหัศจรรย์ของสมุนไพรไทย

อ้างอิง

หนังสือเรื่องราชายาขม 9 สมุนไพรกันมะเร็ง ( สมุนไพรต้านมะเร็ง กระเทียม พลูคาว บอระเพ็ด สมอไทย ทองพันชั่ง )
http://www.google.co.th/imglanding



|g| f|c f|c f|c

ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170018
ตอบกลับ #13 26 มิถุนายน 2015, 22:44:22น.
สมุนไพร

สมุนไพรเพื่อความงาม

ใบหน้า คือ ด่านแรกที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดใจของผู้พบเห็น แต่หลายๆคนกำลังประสบปัญหาผิวหน้าไม่เรียบสวย เพราะเม็ดสิวและรอยแห้งกร้านด้วยจุดด่างดำของกระและฝ้า จนต้องเสียเงินทองมากมายเพื่อเข้าสถานเสริมความงาม หรือหาซื้อยามารักษา จึงอยากแนะนำให้ใช้สมุนไพรพืชผักและผลไม้ที่มีอยู่ทั่วไป แต่มีคุณประโยชน์มากมายทั้งวิตามิน แร่ธาตุ และสารบำรุงผิวธรรมชาติที่ช่วยดูแลผิวพรรณให้ชุ่มชื้นผ่องใสอ่อนไวอยู่เสมอ

ว่านหางจระเข้ (Aloe indica Royle)

คุณค่าของว่านหางจระเข้มีมากมาย นอกจากใช้รักษาโรคแล้ว ยังใช้บำรุผิว บำรุงเส้นผมได้ด้วย ปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า มีแชมพูสระผม และเครื่องสำอางหลายอย่าง ที่ใช้ว่านหางจระเข้เป็นส่วนประกอบ และกำลังเป็นที่นิยมของคนทั่วไป เนื่องจากว่านหางจระเข้ มีคุณสมบัติสามารถช่วยให้กระบวนการเมตะโบลิซึม ทำงานได้เป็นปกติ ลดการติดเชื้อ สลายพิษของเชื้อโรค กระตุ้นการเกิดใหม่ ของเนื้อเยื่อส่วนที่ชำรุด ฉะนั้น ว่านหางจระเข้จึงถูกนำมาใช้ เพื่อบำรุงผิวพรรณ ผู้ที่ใช้ว่านหางจระเข้บำรุงผิวพรรณอยู่เป็นประจำ จะรู้สึกได้ชัดว่า ว่านหางจระเข้มีส่วนช่วย ให้ผิวพรรณผุดผ่อง สดชื่น มีน้ำมีนวล และยังสามารถขจัดสิว และลบรอยจุดด่างดำได้ด้วย

การใช้ว่านหางจระเข้ เพื่อบำรุงผิว โดยปอกเปลือกออก ใช้แต่เมือกวุ้นสีขาวใส ที่อยู่ภายใน ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ไม่ให้เกิดการแพ้ ก่อนใช้ควรตรวจสอบว่า ตนเองจะเกิดอาการแพ้หรือไม่ โดยใช้น้ำที่ได้จากวุ้นสีขาว ของว่านหางจระเข้ ทาตรงบริเวณโคนหู แล้วทิ้งไว้สักครู่ ถ้าเกิดการระคายเคืองเป็นผื่นแดง แสดงว่าแพ้ ไม่เหมาะที่จะใช้กับผิวหน้าอีกต่อไป ถ้าไม่มีอาการแพ้ ก็สามารถใช้ได้ตลอด แต่บางคนก็จะเห็นผลได้เหมือนกัน เมื่อใช้ว่านหางจระเข้ทาบริเวณหัวสิว จะทำให้หัวสิวแห้งเร็ว

นอกจากนี้ ว่านหางจระเข้ยังสามารถลดความแห้งกร้าน และลดความมันของผิวหน้าได้ โดยคนที่มีผิวมัน ก็จะช่วยให้ลดความมัน คนที่มีผิวหน้าแห้ง ก็ยังรักษาความชุ่มชื่นของผิวไว้ได้

งา (Sesamum indicum Linn. S. orientle. L)

เป็นพืชล้มลุก ให้เมล็ดเป็นจำนวนมาก เมล็ดงามีทั้งสีดำ และสีขาว ในเมล็ดงามีน้ำมันอยู่ ประมาณ 45-54% น้ำมันงามีกลิ่นหอมน่ารับประทาน วิธีใช้ โดยการนำเอาเมล็ดงาสด มาบีบน้ำมันงาออก โดยไม่ผ่านความร้อน ใช้ทาผิวหนัง เพื่อบำรุงผิวพรรณ ให้ผุดผ่อง ช่วนประทินผิวให้นุ่มนวล ไม่หยาบกร้าน

แตงกวา (Cucumis sativas Linn.)

จะมีวิตามินสูง ในผลแตงกวายังมีเอ็นไซม์ cryssin ซึ่งช่วยย่อยโปรตีนได้ เอ็นไซม์ชนิดนี้ จะช่วยย่อยผิวหนังที่หยาบกร้าน ให้หลุดออกไป เพื่อให้ผิวใหม่ที่อ่อนนุ่ม เกิดขึ้นมาแทนที่ บางคนใช้แตงกวาสด ผ่าเป็นชิ้นบางๆ วางบนใบหน้าที่ล้างสะอาด แทนน้ำแตงกวา ปัจจุบัน มีน้ำแตงกวาผสมในเครื่องสำอาง เช่น ครีมล้างหน้า ครีมทาตัว เพื่อช้วยให้ผิวไม่หยาบกร้าน และช่วยสมานผิว แตงกวาเป็นสมุนไพร ที่หาง่าย มีประโยชน์ ราคาถูก ใช้ติดต่อกับเป็นประจำ จะทำให้สวนสดชื่น มีน้ำมีนวล

มะเขือเทศ (Lycopersicon esculentum Mill.)

ในมะเขือเทศ จะมีสาร Curotenoid และมีวิตามินหลายชนิด น้ำจากผลมะเขือเทศสุก จะมีสาร licopersioin ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา และแบคทีเรีย และน้ำมะเขือเทศสด นำมาพอกหน้า จะรักษาสิวสมานผิวหน้าให้เต่งตึง หรืออาจจะฝานบางๆ แปะลงบนผิวหน้าก็ได้

ขมิ้นชัน (Curcuma Longa Linn.)

ในขมิ้น จะมีสาร Curcumin และมีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งมีกลิ่นเฉพาะ ขมิ้นมีฤทธิ์ยับยั้ง การเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราหลายชนิด ใช้ทาผิวที่มีผดผื่นคัน ผงขมิ้นใช้ทาตัว เพื่อให้มีสีเหลืองทอง ใช้บำรุงผิว และช่วยฆ่าเชื้อ ที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังบางชนิด ได้อีกด้วย

น้ำผึ้ง (Apis dorsata)

ได้จากผึ้ง ประกอบด้วยน้ำตาลกลูโคส ฟรุคโตส ขี้ผึ้ง อัลบูมินอยด์ ละอองเกสรดอกไม้ และฮอร์โมนเอสโตรเจน จำนวนเล็กน้อย น้ำผึ้งใช้เป็นส่วนประกอบ ของเครื่องสำอาง ใช้พอกหน้า ทำให้ผิวหน้าชุ่มชื่น เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลขึ้น น้ำผึ้งยังมีคุณสมบัติช่วยสมานผิว น้ำผึ้ง เป็นเครื่องสำอางจากธรรมชาติ ที่ให้ประโยชน์สูง และหาง่าย นอกจากนี้ ยังใช้น้ำผึ้งบำรุงผม ฮอร์โมนเอสโตรเจน จะช่วยบำรุงหนังศีรษะ และกระตุ้นการงอกของเส้นผม

มะขามเปียก (Tamarindus indica Linn)

มะขามเปียกมีประวัติการใช้มายาวนาน ช่วยชำระสิ่งสกปรกจากผิวหนัง เพราะฤทธิ์ที่เป็นกรดอ่อนๆ ในมะขาม จะช่วยขจัดสิ่งสกปรกจากผิวหนังได้ดี ปัจจุบัน ได้มีหญิงไทยจำนวนมาก ใช้มะขามเปียกผสมน้ำอุ่น และนมสดให้เข้ากันดี พอกบริเวณผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นรอยด้าน เช่น ตาตุ่ม ข้อศอก ฝ่ามือ ที่มีรอยกร้านดำ และบริเวณรักแร้ ขาหนีบ เพื่อให้ผิวหนังที่เป็นรอยดำจางลง ทำให้ผิวขาวนุ่มนวลขึ้น และนมสดจะช่วยบำรุงผิว ให้นุ่มได้




lv: lv: lv:

ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170018
ตอบกลับ #14 26 มิถุนายน 2015, 22:47:13น.



ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170018
ตอบกลับ #15 26 มิถุนายน 2015, 22:47:33น.



ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170018
ตอบกลับ #16 28 มิถุนายน 2015, 22:13:58น.



ตะไคร้

ส่วนที่ใช้
ต้น หัว ใบ ราก และต้น

สรรพคุณ

ทั้งต้น: ใช้เป็นยารักษาโรคหืด แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะและแก้อหิวาตกโรค หรือทำเป็นยาทานวดก็ได้ และยังใช้รวมกับสมุนไพรชนิดอื่นรักษาโรคได้ เช่น บำรุงธาตุ เจริญอาหาร และขับเหงื่อ

หัว: เป็นยารักษาเกลื้อน แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ปัสสาวะพิการ แก้นิ่ว บำรุงไฟธาตุ แก้อาการขัดเบา ถ้าใช้รวมกับสมุนไพรชนิดอื่น จะเป็นยาแก้อาเจียน แก้ทราง ยานอนหลับลดความดันสูง แก้ลมอัมพาต แก้กษัยเส้น และแก้ลมใบ ใบสด ๆ จะช่วยลดความดันโลหิตสูง แก้ไข้

ราก: ใช้เป็นยาแก้ไข้เหนือ ปวดท้องและท้องเสีย

ต้น: ใช้เป็นยาแก้ขับลม แก้เบื่ออาหาร แก้ผมแตก แก้โรคทางเดินปัสสาวะ นิ่ว เป็นยาบำรุงไฟธาตุให้เจริญ แต่ถ้าเอาผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น จะแก้โรคหนองใน และนอกจากนี้ยังใช้ดับกลิ่นคาวด้วย

Tips
มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด นำเอาตะไคร้ที่มีลำต้นแก่ และสด ๆ มา ประมาณ 1 กำมือ ทุบให้แหลกพอดีแล้วนำไปต้มน้ำดื่ม หรืออีกวิธีหนึ่งเอาตะไคร้ทั้งต้นรากด้วยมาสัก 5 ต้นแล้วสับเป็นท่อนต้นกับเกลือ จากน้ำ 3 ส่วนให้เหลือเพียง 1 ส่วนแล้วทานสัก 3 วัน ๆ ละ 1 ถ้วยแก้วก็จะหาย



ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170018
ตอบกลับ #17 28 มิถุนายน 2015, 22:15:52น.




ขิง

ส่วนที่ใช้
เหง้า หน่ออ่อน เนื้ออ่อนในลำต้น ช่อดอกอ่อน

สรรพคุณ
ขิงยังมีสารอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย คือ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม วิตามินเอ ฯ ขิงมีฤทธิ์อุ่น ช่วยขับเหงื่อ ไล่ความเย็น ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยให้เจริญอาหาร และทำให้ร่างกายอบอุ่น ในทางยานิยมใช้ขิงแก่ เพราะขิงยิ่งแก่จะยิ่งเผ็ดร้อนและมีใยอาหารมาก

นำเหง้าสดย่างไฟให้สุก ตำผสมกับน้ำปูนใสคั้นเอาแต่น้ำดื่ม หรือนำเหง้าสดหมกไฟรับประทานเมื่อมีอาการเบื่ออาหาร

วิธีใช้ในการประกอบอาหาร
ขิงที่นำมาประกอบอาหารมีหลายรูปแบบคือ ขิงสด ขิงดอง ขิงแห้ง ขิงผง รวมทั้งน้ำขิงที่เป็นเครื่องดื่ม ขิงเป็นเครื่องเทศที่ใช้แต่งกลิ่นอาหาร เพิ่มรสชาติ และดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ เช่น ใช้โรยหน้าปลานึ่ง โรยหน้าโจ๊กหรือผสมในน้ำจิ้มข้าวมันไก่ ต้มส้มปลา แกงฮังเล ยำกุ้งแห้ง ขิงยำ เป็นเครื่องเคียงของเมี่ยงคำ หรือทำเป็นขนมหวาน เช่น บัวลอยไข่หวาน มันเทศต้ม เป็นต้น นอกจากนี้ขิงดองยังเป็นอาจาดในอาหารอีกหลายชนิด เช่น ข้าวหน้าเป็ด หรืออาหารญี่ปุ่น รวมทั้งยังเป็นส่วนผสมในการแต่งกลิ่นอาหารหลายชนิด เช่น คุกกี้ พาย เค้ก พุดดิ้ง ผงกะหรี่ เป็นต้น ในประเทศแถบตะวันตกนำขิงไปทำเป็นเบียร์ คือ เบียร์ขิง (Ginger beer)

Tips
1. รักษาอาการคลื่นไส้อาเจียน โดยนำขิงแก่สด ประมาณ 2-3 เหง้า มาทุบพอแตกต้มกับน้ำ
2. รักษาไข้หวัด โดยนำขิงแก่สด 7 กรัม และขิงแห้ง 2 กรัม ต้มกับน้ำตาลทรายแดง ดื่มเพื่อรักษาอาการ หรือใช้ขิงแก่ 2-3 เหง้า นำมาทุบให้ละเอียดต้มกับน้ำอาบเพื่อขับเหงื่อลดอาการไข้เนื่องจากหวัด
3. รักษาอาการไอ ขับเสมหะ โดยนำขิงสดมาคั้นน้ำให้ได้ประมาณครึ่งถ้วย ผสมน้ำผึ้งประมาณ 1 ช้อนชา ต้มกับน้ำ 2 ถ้วย ดื่มวันละ 3 ครั้ง หรือใช้ขิงสดฝนกับมะนาวเติมเกลือเล็กน้อย ใช้กวาดคอหรือจิบบ่อยๆ
4. รักษาอาการปวดประจำเดือน ในช่วงก่อนหรือระหว่างมีประจำเดือน โดยนำขิงแก่แห้งประมาณ 30 กรัม ต้มกับน้ำดื่มบ่อยๆ
5. แก้อาการท้องเสีย ท้องร่วง โดยใช้ขิงแห้งบดชงกับน้ำอุ่น ดื่มวันละ 1 ครั้ง
6. รักษาแผลที่เกิดจากไฟไหม้หรือถูกน้ำร้อนลวก โดยตำขิงสดให้ละเอียด นำกากมาพอกที่แผลเพื่อบรรเทาอาการอักเสบ เป็นหนอง
7. รักษาอาการปวดฟัน โดยนำขิงแก่ทุบให้ละเอียด คั่วกับน้ำสารส้มจนเกรียม แล้วบดจนเป็นผง พอกบริเวณฟันที่ปวด

ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170018
ตอบกลับ #18 28 มิถุนายน 2015, 22:17:17น.




ชื่ออื่น : ผักแว่น ผักหนอก

รูปลักษณะ
ไม้ ล้มลุก อายุหลายปี เลื้อยแผ่ไปตามพื้นดิน ชอบที่ชื้นแฉะ แตกรากฝอยตามข้อ ไหลที่แผ่ไปจะงอกใบจากข้อ ชูขึ้น 3-5 ใบ ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปไต เส้นผ่าศูนย์กลาง 2-5 ซม. ขอบใบหยัก ก้านใบยาว ดอกช่อ ออกที่ซอกใบ ขนาดเล็ก 2-3 ดอก กลีบดอกสีม่วง ผลแห้ง แตกได้

ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170018
ตอบกลับ #19 28 มิถุนายน 2015, 22:17:57น.




ใบบัวบก
สรรพคุณและส่วนที่นำมาใช้เป็นยา
ใบสด – ใช้เป็นยาภายนอกรักษาแผลเปื่อย แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก โดยใช้ใบสด 1 กำมือ ล้างให้สะอาด ตำละเอียด คั้นเอาน้ำทาบริเวณแผลบ่อย ๆ ใช้กากพอกด้วยก็ได้ แผลจะสนิทและเกิดแผลเป็นชนิดนูน (keloid) น้อยลง สารที่ออกฤทธิ์คือ กรด madecassic, กรด asiatic และ asiaticoside ซึ่งช่วยสมานแผลและเร่งการสร้างเนื้อเยื่อ ระงับการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ที่ทำให้เกิดหนองและลดการอักเสบ

มีรายงานการค้นพบฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา อันเป็นสาเหตุของโรคกลาก ปัจจุบัน มีการพัฒนายาเตรียมชนิดครีม ให้ทารักษาแผลอักเสบจากการผ่าตัด

น้ำต้มใบสด – ดื่มลดไข้ รักษาโรคปากเปื่อย ปากเหม็น เจ็บคอ ร้อนใน กระหายน้ำ ขับปัสสาวะ แก้ท้องเสีย




ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170018
ตอบกลับ #20 28 มิถุนายน 2015, 22:20:27น.


มะระขี้นก (Bitter Cucumber)
          มะระขี้นกมีลักษณะเป็นไม้เถา มีมือเกาะใบเดี่ยว รูปร่างคล้ายฝ่ามือ เรียงสลับกันขอบใบเว้าลึก 5 – 7 แฉก กว้างและยาวประมาณ 4 – 7 ซม. ดอกเดี่ยว ดอกแยกเพศกัน และอยู่บนต้นเดียวกัน กลีบดอกสีเหลืองรูประฆัง ผลเป็นรูปกระสวย ผิวขรุขระ ดิบสีเขียว เมื่อสุกสีส้ม ใบ ลำต้น และลูกมีรสขม
 ส่วนที่ใช้ทำยา

เนื้อผลอ่อน

สรรพคุณและวิธีใช้
 ช่วยเจริญอาหาร บำรุงน้ำดี แก้โรคของม้าม และตับ ขับพยาธิ น้ำคั้นจากผลมะระเป็นยาระบายอ่อน ๆ อมแก้ปากเปื่อย ปากเป็นขุย ผลมะระอ่อนใช้รับประทานเป็นยาเจริญอาหาร โดยการต้มให้สุกรับประทานกับน้ำพริก ผลมะระสุกห้ามรับประทานเพราะจะทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน

 น้ำมะระขี้นก มีวิตามินเอสูงมาก ช่วยบำรุงสายตา สรรพคุณน้ำคั้นผลมะระช่วยเจริญอาหาร ลดน้ำตาลในเลือด ลดไข้ แก้อาการข้ออักเสบ บำรุงน้ำดี








ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170018
ตอบกลับ #21 28 มิถุนายน 2015, 22:30:39น.

10 สมุนไพรพื้นบ้านลดไขมันในเลือด อาหารเป็นยาคู่ครัวไทย


         สมุนไพรลดคอเลสเตอรอล ลดไขมันเลือด ใครที่รู้ตัวว่าเป็นคนชอบกินของทอด ของมัน ควรรีบมาทำความรู้จักกับสมุนไพรไทยให้ไวเลยเชียว

          อย่าเพิ่งเหมารวมว่า คอเลสเตอรอล (Cholesterol) เป็นผู้ร้ายทำอันตรายต่อสุขภาพเรา เพราะความจริงแล้วร่างกายของเราสร้างคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ขึ้นเอง เพื่อนำไปใช้ในกระบวนการต่าง ๆ แต่ตัวการสำคัญที่ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) เพิ่มสูงขึ้นเกินความจำเป็นนั้น ดูเหมือนจะเป็นตัวเราเองมากกว่า ที่ชอบกินอาหารประเภทของทอด ของมันเป็นประจำ จนทำให้ร่างกายมีระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลวมากกว่าคอเลสเตอรอลชนิด­ดี ดังนั้น หากไม่อยากให้สุขภาพแย่ลงเรื่อย ๆ เพราะคอเลสเตอรอลชนิดเลว ก็รีบหันมาผูกมิตรกับสมุนไพรไทยทั้ง 10 ชนิดนี้ไว้ก่อนดีกว่า






กระเจี๊ยบแดง

          สรรพคุณของกระเจี๊ยบแดงนั้นน่าทึ่งทีเดียว เพราะนอกจากจะช่วยลดระดับไขมันเลว เพิ่มระดับไขมันดีในร่างกายแล้ว ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณมากใกล้เคียงกับผลบลูเบอร์รี เชอร์รี และแครนเบอร์รี เพราะอย่างนี้กระเจี๊ยบแดงจึงมีสรรพคุณช่วยต้านมะเร็ง และชะลอวัยได้อีกด้วย ส่วนของกระเจี๊ยบที่นิยมนำมาบริโภคก็คือ ผล และกลีบเลี้ยง นำมาคั้นเป็นน้ำกระเจี๊ยบแดง หรือนำมาทำเป็นสารสกัดกระเจี๊ยบแดง






กระเทียม

          เครื่องเทศที่ใกล้ชิดครัวเรือนมากที่สุดอย่างกระเทียม มักจะเป็นสมุนไพรที่หลายคนไม่ชอบเอาซะเลย เพราะมีกลิ่นฉุน กินแล้วเกิดกลิ่นปาก แต่รู้ไหมว่า กระเทียมเป็นสมุนไพรที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกเชียวนะคะ ขึ้นชื่อว่า มีสรรพคุณเจ๋ง ๆ ต่อร่างกายทั้งนั้น ได้แก่ ช่วยลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง ควบคุมระดับไขมันในเส้นเลือด ช่วยรักษาแผลทั้งแผลสดและแผลเรื้อรังลดการเกิดลิ่มเลือด ช่วยป้องกันโรคหัวใจ และช่วยยับยั้งการเกิดมะเร็งได้อีกด้วย







ดอกคำฝอย

          ดอกคำฝอย เป็นสมุนไพรที่เรามักเห็นอยู่ในรูปแบบของชา และอาหารเสริมลดน้ำหนักชนิดต่าง ๆ ก็เพราะว่าสรรพคุณของดอกคำฝอยนั้น ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือดนั่นเอง ในดอกคำฝอยมีกรดไลโนเลอิค (Linoleic Acid) อยู่มาก ซึ่งกรดชนิดนี้จะเข้าไปทำปฏิกิริยากับไขมันในเลือด และจะถูกขับออกทางปัสสาวะและทางอุจจาระ จึงทำให้ไขมันในร่างกายเราลดน้อยลง







  ถั่วลันเตา

          ถั่วลันเตา ก็ถือเป็นสมุนไพรไทยด้วยเหมือนกัน และเพราะเป็นพืชที่จัดอยู่ในตระกูลถั่วด้วย จึงทำให้ถั่วลันเตามีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายไม่น้อยเล­­­ยทีเดียว นั่นคือ อุดมด้วยวิตามีนบี 2 โปรตีนสูง และไขมันต่ำ ลดคอเลสเตอรอล ควบคุมความดันโลหิต ลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ ช่วยลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน ป้องกันอาการตะคริว ช่วยบำรุงสายตา กระดูกและฟันให้แข็งแรง






  ไมยราบ

          ต้นไมยราบที่ใครหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแค่วัชพืชนั้น ความจริงแล้วเป็นสมุนไพรที่มีคุณสมบัติทางยาอยู่มากทีเดียว ได้แก่ แก้ไอ ขับเสมหะ รักษาอาการหลอดลมและกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยลดคอเลสเตอรอล และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เราสามารถนำต้นไมยราบมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งต้นเลยค่ะ โดยนำมาต้มกับน้ำ ใช้จิบบำรุงร่างกายได้เหมือนเครื่องดื่มประเภทชา

ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170018
ตอบกลับ #22 28 มิถุนายน 2015, 22:36:54น.


มะเขือยาว

          ผักสวนครัวที่เรามักนำไปเป็นผักเครื่องเคียงไว้จิ้มน้ำพริกอย่า­­­ง มะเขือยาวนั้น ก็มีสรรพคุณช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เช่นกัน จากผลการทดลองในห้องแล็บ โดยการเลี้ยงกระต่ายด้วยอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง และมีมะเขือยาวเป็นอาหารเพิ่ม พบว่า ไม่มีคอเลสเตอรอลเกาะในหลอดเลือด จึงคาดว่ามะเขือยาวยับยั้งการดูดซึมคอเลสเตอรอลผ่านผนังลำไส้ แต่หากจะบริโภคโดยใช้วิธีการทอดคงจะไม่เหมาะนัก เพราะมะเขือยาวจะดูดซับน้ำมันไว้ด้วย ทางที่ดี ให้ใช้วิธีการอบ หรือเผาแทนดีกว่า





  เสาวรส

          เสาวรส เป็นผลไม้ที่นิยมบริโภคแพร่หลายในต่างประเทศ แต่ในบ้านเรากลับไม่ค่อยนิยมนำมากินสด ๆ เหมือนกับผลไม้ชนิดอื่นเท่าไรนัก ส่วนใหญ่เราจะเห็นว่านำผลเสาวรสมาคั้นเป็นน้ำ หรือไม่ก็นำไปเป็นส่วนประกอบในอาหารชนิดอื่น ๆ เช่น ไอศกรีมเสาวรส ขนมเค้ก คุ้กกี้ เป็นต้น จากการศึกษาพบว่าวิตามินซีในผลเสาวรส มีมากกว่าในผลมะนาวเสียอีก และยังพบอีกด้วยว่า สาร Albumin homologous protein ในเมล็ด สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราได้ มีสรรพคุณ ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ ลดไขมันในเลือด และโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้อีกด้วย

          อย่างไรก็ตาม ผลสดของเสาวรสนั้น ยังมีข้อควรระวังอยู่ด้วย นั่นคือ ไม่ควรเคี้ยวให้เมล็ดสดแตก เพราะร่างกายจะได้รับผลข้างเคียงจากสารไซยาไนต์ในเมล็ด และอีกกรณีก็คือ ผู้ที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงควรดื่มพอประมาณ






เห็ดฟาง

          อาหารสีขาวอย่างเช่น เห็ดฟางนั้น ดีต่อร่างกายมากทีเดียวนะคะ เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยลดไขมันในเส้นเลือด แล้ว ยังช่วยบำรุงหัวใจ กระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น ป้องกันโรคหวัด ต้านมะเร็ง ลดการติดเชื้อและช่วยสมานแผล ที่สำคัญคือ ใครที่ธาตุหนัก ท้องผูกบ่อย ขับถ่ายยาก ควรกินค่ะ เพราะเห็ดฟางมีเส้นใยสูงช่วยกระตุ้นการขับถ่ายได้ด้วย





หอม

          หอมก็เป็นอีกหนึ่งสมุนไพรที่คนส่วนมากมักเขี่ยทิ้งประจำ เพราะกินแล้วทำให้เกิดกลิ่นปาก ทั้ง ๆ ที่หอมมีสรรพคุณเพียบเลย ดังนี้

          -หอมแดง อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดคลอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตและโรคหัวใจ บำรุงสมอง และมีสรรพคุณช่วยรักษาสิวฝ้า

          -หอมหัวใหญ่ มีสรรพคุณช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ ช่วยสลายลิ่มเลือด ลดไขมันในเลือด รักษาอาการหวัด แก้อาการจุกเสียดแน่ท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ มีสรรพคุณรักษาเบาหวาน ช่วยรักษาโรคภูมิแพ้และหอบหืด

          ประโยชน์ของหอมมากมายแบบนี้ คงต้องแข็งใจทานกันสักหน่อยเนอะ เพื่อสุขภาพที่ดี







  ขิง

          ขิง สมุนไพรรสชาติเผ็ดร้อนก็มีสรรพคุณช่วยลดคอเลสเตอรอลด้วยเช่นกัน­­­ จากรายงานการศึกษา เผยว่า ขิงมีประโยชน์ต่อผู้ที่มีคอเลสเตอรอลสูง โดยพบว่า การผสมขิงสดลงลงในอาหารทีมี่คอเลสเตอรอลผสมอยู่ จะช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดและตับ สำหรับวิธีกินขิงนั้น แนะนำให้กินแบบสดพร้อมกับอาหาร หรือ ฝานเหง้าขิงสด ต้มกับน้ำ หรือ น้ำชา ใช้จิบดื่มเป็นน้ำขิง ชาขิง

          อย่างไรก็ตาม การกินสมุนไพรเพื่อลดไขมัน ลดคอเลสเตอรอลเพียงอย่างเดียว คงไม่มีทางเห็นผลร้อยเปอร์เซ็นต์แน่นอน เราควรงดกินอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงไขมันสูงด้วยนะคะ มิเช่นนั้น เราก็ยังมีความเสี่ยงเป็นโรคที่เกิดจากการมีคอเลสเตอรอลสูง และไขมันสูงอยู่ดี เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคเส้นเลือดในสมองตีบ ทำให้เป็นอัมพาต โรคเส้นเลือดที่ขาตีบตัน และโรคเบาหวานเป็นต้น เมื่อรู้ประโยชน์ดี ๆ ของสมุนไพรไทยกันแล้ว ก็อย่าลืมนำไปลิ้มลองรสชาติกันดูนะคะ

ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170018
ตอบกลับ #23 05 กรกฎาคม 2015, 12:00:28น.


her_health
สวยได้ สุขภาพดีด้วย! เติมคุณภาพชีวิต
ผลไม้บำรุงสายตา
เวิร์คกิ้งวูแมนทั้งหลายที่ต้องเผชิญกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน จนทำให้เกิดความล้าของดวงตา




ต้นตอของปัญหาด้านสายตา ทั้งตาแข็ง ตาแห้ง หรือตาอักเสบ นอกจากจะทำงานหนักแล้ว ที่สาวสวยและเก่งอย่างเราจึงต้องดูแลดวงตาดูสดใสเปล่งประกายอยู่เสมอด้วยผลไม้ สีเหลือง สีส้ม สีแดง และสีเขียวเข้ม เต็มเปี่ยมด้วยวิตามินเอ เช่น มะม่วงสุก มะละกอสุก แคนตาลูบ และแตงโม มีสรรพคุณเรื่องการมองเห็นในที่มีแสงสลัว และเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเยื่อบุในดวงตา นอกจากนี้ผลไม้ที่มีวิตามินซี เช่น  ฝรั่ง สับปะรด ส้ม มะละกอ หรือผลไม้ตระกูลเบอร์รีอย่าง บลูเบอร์รี สตรอว์เบอร์รี ราสเบอร์รี จะมีสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายรวมถึงดวงตาได้อีกด้วย หากรู้อย่างนี้แล้วอย่ามัวแต่ห่วงสวยดูแลเฉพาะรูปร่างภายนอกเพียงอย่างเดียว ควรสนใจ “ดวงตา” คู่สำคัญให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพตลอดไป รวมทั้งยังเป็นหน้าต่างของหัวใจอีกด้วยค่ะ






แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05 กรกฎาคม 2015, 12:03:05น. โดย namtanwaan

ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170018
ตอบกลับ #24 09 สิงหาคม 2015, 20:59:14น.



 j|a j|a j|a

ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170018
ตอบกลับ #25 20 สิงหาคม 2015, 22:21:44น.



 ty: ty:

ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170018
ตอบกลับ #26 21 สิงหาคม 2015, 18:33:05น.



 j|a j|a j|a

ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170018
ตอบกลับ #27 21 สิงหาคม 2015, 18:35:37น.





ปลูกไว้ได้เป็นดีค่ะ..." ว่านหางจระเข้ "

สรรพคุณและวิธีใช้ :
ว่านหางจระเข้ ซึ่งเป็นที่นิยมกันมาแต่โบราณ มีความลี้ลับอะไรอยู่หรือ แม้ว่าผู้คนจะนิยมใช้ว่านหางจระเข้กันมาแต่โบราณ แต่สรรพคุณของว่านหางจระเข้ก็ยังมีม่านแห่งความลี้ลับปกคลุมอยู่มาตลอดช่วงระยะเวลาอันยาวนาน

ผู้เปิดม่านความลี้ลับของว่านหางจระเข้ด้วยทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ก็คือ ดร.โซเอดะ โมโมเอะ ผู้เชี่ยวชาญด้านปฏิชีวนะสารที่มี ชื่อเสียงของญี่ปุ่น ดร.โซเอดะ เริ่มศึกษาวิจัยว่านหางจระเข้เมื่อ พ.ศ. 2540 โดยเธอได้นำ สารละลายของว่านหางจระเข้มากรอง แล้วนำไปแช่แข็ง จากนั้นก็สกัดให้เป็นผง แล้วจึงสกัดอีกครั้งด้วยน้ำและแอลกอฮอล์ แล้วตรวจวัดทันที ก็พบมีสารตกตะกอนหลายชนิด หนึ่งในผลงานศึกษาของเธอคือ ได้ค้นพบสารใหม่ที่ออกฤทธิ์ของยาของว่านหางจระเข้อีกครั้ง ซึ่งแต่เดิมทราบกันแต่ว่าว่านหางจระเข้มีสารอยู่สองชนิดคือ สารอะโลอิน กับสารอะโลไอโมติน แต่ดร.โซเอดะได้ค้นพบสารใหม่อีก 3 ชนิด สารหนึ่งในสามนี้คือ อะโลติน ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรคและเชื้อรา อีกชนิดหนึ่งคือ สารอะโลมิติน มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเนื้องอก และสารชนิดสุดท้ายคือ สารอะโลอูรซิน ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยสมานแผล

1. ฟกช้ำ ขัดยอก
ว่านหางจระเข้ใช้ได้ผลดีมากกับอาการฟกช้ำขัดยอก การปฐมพยาบาลคนเจ็บที่หกล้มฟกช้ำ ควรประคบด้วยน้ำเย็น ส่วนคนเจ็บที่เกิดการเคล็ด ควรต้องเข้าเฝือกและตรึงด้วยไม้ ให้บริเวณที่ได้รับบาดเจ็บอยู่นิ่งๆ จากนั้นให้ปิดด้วยเนื้อวุ้นว่านหางจระเข้ เนื่องจากว่านหางจระเข้มีฤทธิ์ให้แก้ร้อน แก้อักเสบและบรรเทาปวด จึงรักษาให้หายได้เร็วมาก

เคล็ดลับการรักษาด้วยว่านหางจระเข้
วิธีการรักษาด้วยว่านหางจระเข้ก็เพียงฝานว่านหางจระเข้เป็นชิ้นบางๆ ปิดไว้ตรงบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ แล้วใช้ผ้าพันแผลปิดให้เรียบร้อย
ถ้าฟกช้ำเป็นบริเวณกว้างหรือขัดยอก ให้พอกด้วยว่านหางจระเข้ โดยบดว่านให้ละเอียดก่อนแล้วป้ายลงบนผ้าก๊อซ แล้วนำไปปิดบริเวณที่บาดเจ็บ จากนั้นจึงใช้ผ้าพันแผลพันให้เรียบร้อย นอกจากนี้ จะใช้แป้งหมี่ผสมกับน้ำว่าน นำมาทาตรงบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บก็ได้ ถ้าแป้งที่พอกไว้แห้งแล้วแกะออกยากให้ใช้ผ้าเปียกปิดไว้ให้แป้งอ่อนตัวก่อน แล้วค่อยแกะออก

2. หืดหอบ
โรคหืดหอบเกิดจากการแพ้สารบางอย่าง ซึ่งสารนี้จะไปกระตุ้นประสาทซิมพาเธติค ทำให้กล้ามเนื้อที่หลอดลมเกิดการหดเกร็งอย่างรุนแรง แต่โดยทั่วไปแล้ว โรคหืดหอบเกิดจากร่างกายที่มีความผิดปกติ จึงควรใช้ว่านหางจระเข้ปรับสภาพร่างกายให้ดีขึ้น เสริมเยื่อบุในหลอดลมให้แข็งแรงขึ้น เพื่อป้องกันการกำเริบของโรค

เคล็ดลับการรักษาด้วยว่านหางจระเข้
เวลาเป็นหืดหอบ จะรู้สึกไม่สบายที่หลอดคอ ดังนั้นให้ดื่มน้ำว่านจะดีที่สุด โดยผสมน้ำร้อนให้เจือจางก่อน แล้วค่อยดื่ม
ถ้าเด็กเป็นหืดหอบ น่าจะใส่น้ำผึ้งผสมด้วยสักเล็กน้อย ซึ่งจะช่วยลดรสขม ทำให้ดื่มง่ายขึ้น เด็กควรกินประมาณ 1 ใน 3 ส่วน ของที่ผู้ใหญ่กิน ในบางคนอาการอาจหายไปในเวลาราว 1 เดือน แต่ควรจะกินว่านหางจระเข้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง โดยกินวันละ 1-2 ครั้ง จะดีกว่า

3. ไข้หวัด
โรคหวัดเป็นโรคของอวัยวะทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัส แม้จะเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรงอะไร แต่มันสามารถพัฒนาและก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ได้มากมาย ดังนั้น จึงควรรักษาเสียแต่เนิ่นๆ

ว่านหางจระเข้มีฤทธิ์ที่จะทำให้เชื้อไวรัสไข้หวัดไม่แพร่ขยายตัวอีก จึงช่วยป้องกันไข้หวัดได้ และถึงจะเป็นหวัดอยู่แล้ว เมื่อกินว่านหางจระเข้ก็จะหายได้โดยเร็ว และว่านหางจระเข้ยังช่วยรักษาอาการของไข้หวัด เช่น ไอ เจ็บคอ มีเสมหะได้ดีอีกด้วย

เคล็ดลับการรักษาด้วยว่านหางจระเข้
ใช้ใบว่านหางจระเข้ยาวประมาณ 4 ซ.ม. บดหรือขูดให้เป็นน้ำวุ้น เติมน้ำสุกอุ่น 1 แก้ว แล้วรับประทานหรือจะใส่น้ำผึ้งหรือน้ำมะนาว เพื่อเพิ่มรสชาติให้น่ารับประทานยิ่งขึ้นก็ได้ ซึ่งจะมีผลช่วยแก้อาการอักเสบที่หลอดคอและช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น

4 .เมารถเมาเรือ
เวลาโดยสารรถหรือเรือแล้วรู้สึกไม่สบาย มีอาการเมารถเมาเรือ โดยเฉพาะคนที่มีประสาทอัตโนมัติไว จะเกิดอาการเมารถเมาเรือได้ง่ายที่สุด อาการเมาที่ว่านี้จะมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ เหงื่อแตก อาเจียน ฯลฯ คนที่ปกติไม่เมารถเมาเรือ ก็อาจเกิดอาการเมาได้ ถ้ากระเพาะอาหารทำงานผิดปกติหรือนอนหลับไม่เพียงพอ

สารในว่านหางจระเข้มีฤทธิ์ช่วยระงับประสาท จึงใช้ได้ผลดี กับอาการเมารถเมาเรือ วิธีกินที่ได้ผลเร็วที่สุด คือ กินใบว่านสดๆ โดยอาจเคี้ยวกินโดยตรงหรือทำเป็นน้ำว่านดื่มก็ได้

เคล็ดลับการรักษาด้วยว่านหางจระเข้
การป้องกันอาการเมารถเมาเรือ ให้กินใบว่านหางจระเข้ ขนาดสัก 2-3 ซ.ม. ไว้ก่อนที่จะโดยสารรถหรือเรือ หรือจะดื่มน้ำว่านก็ได้ และแม้แต่เมื่อมีอาการเมารถเมาเรือแล้ว หากได้กินใบว่านหางจระเข้สักเล็กน้อย จะทำให้รู้สึกสบายขึ้น

5. แผลจากของมีคมบาดและแผลถลอก
โอกาสที่เราจะเกิดแผลจากของมีคมบาดหรือแผลถลอกในชีวิตประจำวันนั้นมีมากเหลือเกิน โดยเฉพาะในบ้านที่มีเด็ก จะยิ่งเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ได้บ่อยมาก ถ้าคุณคิดว่าแผลจากของมีคมบาดหรือแผลถลอกเป็นแผลเล็กๆ แล้วไม่เอาใจใส่ นั่นจะเป็นอันตรายมาก เพราะแผลเหล่านี้อาจกลัดหนอง หรืออาจเป็นแผลเรื้อรังจนเป็นบาดทะยักได้

ดังนั้น เพื่อมิให้แผลกลายเป็นแผลเรื้อรัง จึงควรพยายามรักษาโดยเร็วที่สุดเสียแต่เริ่มแรก ว่านหางจระเข้มีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อ ป้องกันการติดเชื้อ แทรกซ้อน อีกทั้งสามารถกระตุ้นการเติบโตของเนื้อเยื่อส่วนที่ได้รับบาดเจ็บอีกด้วย ดังนั้น ว่านหางจระเข้จึงเป็นยาที่ดีในการรักษาแผลจากของมีคมบาดหรือแผลถลอก

เคล็ดลับการรักษาด้วยว่านหางจระเข้
ล้างสิ่งสกปรกในแผลออกด้วยน้ำก่อน ถ้าเป็นแผลเล็กน้อย ให้นำว่านหางจระเข้ไปฆ่าเชื้อด้วยน้ำร้อนหรือล้างด้วยน้ำด่างทับทิมแล้วนำไปทาที่แผล ถ้าเป็นแผลค่อนข้างใหญ่ ก็ให้เอาเนื้อวุ้นว่านหางจระเข้พอกไว้ที่แผล แล้วพันด้วยผ้าพันแผลให้เรียบร้อย พอเนื้อวุ้นแห้งแล้ว ให้เปลี่ยนใหม่ 2-3 วัน (สำหรับกรณีแรก) หรือประมาณ 1 เดือน (สำหรับกรณีหลัง) แผลก็จะหายดี

6.ช่องปากอักเสบ
ช่องปากอักเสบ หมายถึง เยื่อบุช่องปากอักเสบ ซึ่งแบ่งเป็นช่องปากอักเสบที่เยื่อบุ กับ แผลในช่องปากเยื่อบุช่องปากอักเสบ หมายถึง เยื่อบุในช่องปากมีอาการบวมแดงและร้อน เมื่อกินอาหารที่มีฤทธิ์ระคายเคือง จะรู้สึกเจ็บ แผลในช่องปาก หมายถึง เยื่อบุช่องปากเกิดเป็นแผลเน่าเปื่อยเป็นดวงกลมการใช้ว่านหางจระเข้ปิดป้องกันที่ผิวแผลมิให้ติดเชื้อจะได้ผลดีมาก

เคล็ดลับการรักษาด้วยว่านหางจระเข้
ตัดว่านหางจระเข้ขนาด 3-4 ซ.ม. เอาหนามออกแล้วลวกด้วยน้ำร้อน จากนั้นนำมาบดให้ละเอียด ใส่น้ำลงเจือจาง 4-5 เท่า แล้วใช้บ้วนปาก โดยอย่ารีบบ้วนน้ำว่านทิ้งทันที ให้อมเอาไว้ในปากสัก 2-3 วินาที จะให้ผลดียิ่งขึ้น

7. ฮ่องกงฟุต
เมื่อผิวหนังที่มือและเท้าติดเชื้อรา ก็จะกลายเป็นโรคเท้าเปื่อยหรือฮ่องกงฟุต ซึ่งมีอาการที่สำคัญ คือ จะคันมาก โรคฮ่องกงฟุต มี 2 ชนิด ชนิดแรก ผิวหนังจะเป็นผิวแห้งและหยาบกร้าน ชนิดที่สอง จะมีน้ำเหลืองไหลเยิ้มอยู่ตลอดเวลา ซึ่งโรคนี้ถ้าเป็นมากๆ ก็จะเกิดติดเชื้อแทรกซ้อนขึ้น จนกระทั่งทำให้เดินไม่ได้

ว่านหางจระเข้ใช้ได้ผลดีมากกับโรคฮ่องกงฟุต เพราะสารจากว่านหางจระเข้มีสรรพคุณฆ่าและยับยั้งการเจริญของเชื้อโรค จึงสามารถป้องกันการติดเชื้อซ้ำอีกได้ หลังจากใช้ว่านหางจระเข้ ผู้ป่วยจะไม่เกิดอาการคันอีก ต่อมาผิวหนังชั้นนอกก็จะลอกออก แล้วโรคฮ่องกงฟุตก็จะค่อยๆ หายไป

เคล็ดลับการรักษาด้วยว่านหางจระเข้
ก่อนอื่นต้องล้างบริเวณที่เป็นโรคฮ่องกงฟุตให้สะอาดก่อน และเช็ดให้แห้ง จากนั้นเอาเนื้อวุ้นว่านหางจระเข้ ซึ่งผ่านการฆ่าเชื้อด้วยน้ำร้อนหรือน้ำด่างทับทิมแล้วมาพอกปิดไว้ และถ้าต้องการให้ได้ผลมากขึ้น ควรใช้เนื้อวุ้นว่านปิดหลังอาบน้ำ เพราะสารในเนื้อว่านจะซึมซาบเข้าไปในผิวหนังได้ง่ายขึ้น ถ้าอาการไม่มากนัก ก็จะหายคันได้ง่าย ทำให้ผิวหนังเนียนเรียบได้อย่างรวดเร็ว

8.โรคตับ
ตับเป็นอวัยวะที่ร่างกายใช้งานบ่อยที่สุด เพราะมีบทบาทสำคัญในการเผาผลาญอาหารและเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่สลายสารพิษแล้วขับออกจากร่างกายในรูปของเสีย ตับจึงมีความสำคัญต่อสุขภาพของคนเราเป็นอย่างมาก คนที่ชอบดื่มสุรา จึงยิ่งต้องระวังจะเป็นโรคตับแข็ง

เนื่องจากว่านหางจระเข้มีฤทธิ์ช่วยแก้พิษ จึงช่วยการทำงานของตับได้ นอกจากนี้ ว่านหางจระเข้ยังมีสรรพคุณเสริมภูมิต้านทานของร่างกาย ซึ่งถ้าสามารถใช้ว่านหางจระเข้ควบคู่ไปกับการรักษาโรคตับได้ จะช่วยให้ตับฟื้นตัวเร็วขึ้น การกินว่านหางจระเข้ต่อเนื่องกันเสมอ ก็จะช่วยป้องกันโรคตับได้ด้วย

เคล็ดลับการรักษาด้วยว่านหางจระเข้
การใช้ว่านหางจระเข้รักษาโรคตับนี้ ให้เลือกวิธีกินได้ตามที่ตัวเองชอบ เช่น กินใบสดโดยตรง ทำเป็นน้ำว่าน น้ำผลไม้ผสมว่าน แต่ผู้ป่วยโรคตับไม่เหมาะจะดื่มสุราว่าน เพราะจะทำให้ตับทำงานหนักมากขึ้น ที่สำคัญคือ ต้องกินว่านหางจระเข้ต่อเนื่องกัน ถึงจะได้ผล จึงควรเลือกวิธีกินที่ง่าย และเมื่อให้แพทย์รักษาไประยะหนึ่งแล้ว ถ้ากินว่านหางจระเข้ต่อไป จะช่วยป้องกันมิให้โรคกำเริบซ้ำอีก

ที่มาhttp://board.palungjit.org
โดย ทางแพทย์สายพุทธ


 j|a j|a j|a

ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170018
ตอบกลับ #28 21 สิงหาคม 2015, 18:37:26น.





‪#‎ประโยชน์ของลำไย‬

ใครที่ชอบทานลำไย ทราบหรือไม่ว่ามีประโยชน์อะไรบ้าง วันนี้มีเรื่องนี้มาบอกจ้า

- ลำไยมีฤทธิ์อุ่น รสหวาน มีปริมาณซูโครสและกลูโคสสูง จึงช่วยให้ร่างกายสดชื่นได้เร็ว

- สารอาหารต่างๆ ในลำไย เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบี และวิตามินซี เป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อระบบประสาท เลือด และความแข็งแรงของกระดูกและฟัน

- เนื้อลำไยมีสรรพคุณบำรุงเลือด ทำให้ผิวพรรณสดใส จึงเหมาะกับสตรีหลังคลอด นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงหัวใจ ม้าม และช่วยทำให้ผ่อนคลาย

- ใบลำไย ใช้ชงเป็นชารักษาโรคมาลาเรีย แก้หวัด และริดสีดวงทวาร

- เมล็ดใช้แก้ปวด รักษาโรคผิวหนัง

- ดอกใช้ขับปัสสาวะ ขับนิ่ว

รู้อย่างนี้แล้ว ลองหาลำไยมาทานกันดูได้
*แต่อย่าทานมากจนเกินไปเพราะอาจจะทำให้ร้อนในได้.

(ที่มา http://www.dailynews.co.th/)



 S|d' f|c f|c

ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 170018
ตอบกลับ #29 21 สิงหาคม 2015, 18:39:00น.





"แตงกวา... ประโยชน์สารพัด"

คุณมองเห็นอะไร...แตงกวาหรือตัวช่วยผิวจากการถูกแสงแดดทำลาย? (Health Plus)

แตงกวามีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพซึ่งคุณอาจยังไม่รู้...

• แตงกวาอาหารของผิว

เพราะอุดมไปด้วย วิตามินซี แคลเซียม ซิลิก้า และโปแทสเซียม แตงกวาจึงทำให้ผิวกระจ่างใส เส้นผมเป็นมันเงา เล็บแข็งแรง และช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เพื่อสุขภาพผิวที่ดี มาทำโทนเนอร์แตงกวากระชับรูขุมขนใช้เองดีกว่า นำแตงกวาครึ่งลูก ถั่วเฮเซลนัท 1 ช้อนโต๊ะ น้ำแร่ 1 ช้อนโต๊ะใส่ในเครื่องปั่นอาหาร นำส่วนผสมที่ได้มากรองด้วยผ้าขาวบางคั้นเอาแต่น้ำ ทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีแล้วล้างออกโทนเนอร์ส่วนที่เหลือให้นำไปแช่ตู้เย็น เก็บได้ประมาณ 3 วัน

• ผิวไหม้เนื่องจากถูกแดดเผา

บรรเทาอาการแสบผิวด้วยโลชั่นแตงกวาสูตรเย็นต่อไปนี้ดูสิ ผสมน้ำแตงกวาคั้น (เลือกลูกใหญ่ ๆ ) กับกลีเซอรีนครึ่งช้อนชา ทาบริเวณที่ถูกแดดเผา โลชั่นจะช่วยให้ผิวเย็นและเพิ่มน้ำหล่อเลี้ยง ทั้งนี้เพราะแตงกวามีคุณสมบัติลดการอักเสบและคืนความชุ่มชื่นให้ผิว

• แสบเคืองตาใช่ไหม?

ถ้ามีอาการเคืองตา ตาบวมให้ใช้แตงกวาแช่เย็นหั่นเป็นแว่นวางบนตาประมาณ 10 นาที โดยให้นอนพักสายตาในห้องมืด เนื่องจากแตงกวามีวิตามินและเกลือแร่สูง ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูดวงตาให้กลับสดชื่นมีชีวิตชีวา

• ล้างพิษด้วยน้ำแตงกวา

ถ้าคุณกำลังคิดจะทำดีท็อกซ์ ลองน้ำแตงกวาดูสิ เพราะมีสรรพคุณช่วยขับปัสสาวะ และสารพิษต่าง ๆ ออกจากร่างกาย มีคุณสมบัติเป็นยาระบาย ด้วยรสชาติที่นุ่มนวลของแตงกวา จึงเหมาะที่จะนำมาผสมกับน้ำผลไม้ชนิดอื่น เริ่มต้นวันใหม่ของคุณด้วยเครื่องดื่มสูตรล้างพิษ และเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าต่อไปนี้ : แตงกวา 1 ผล คั้นเอาแต่น้ำ ใส่ขิงหั่นเป็นแว่นขนาดครึ่งนิ้วลงไป ดื่มทันที

(ขอขอบคุณข้อมูลจาก Health plus)



 |ra lv: lv:

 

เว็บไซต์ในเครือข่ายอภิโชค : apichokeonlin.com | apichoke.net | apichoke.biz | apichoke.me | apichoke.org | apichoke.info
"ศาสตร์ของการคำนวณหวย สถิติหวยความน่าจะเป็น บนเว็บนี้ เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน-นักคำนวณ และบุคคลทั่วไปตลอดจนเลขจากไสยศาสตร์ต่างๆ การที่ใครจะถูกสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือถูกหวย รวยด้วยหวย ก็เป็นเพียงแต่ การเสี่ยงโชค เสี่ยงดวง เท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ และไม่ควรงมงาย หากต้องการเสี่ยงโชค ซื้อหวย เล่นหวย ก็ขอให้ เสี่ยงโชคแต่พอเพียงตามกำลังของตนเอง อย่าซื้อเกินกำลังอาจทำให้เดือนร้อนได้"
คำเตือน : อย่าหลงเชื่อหากมีผู้อ้างตนเป็นอาจารย์ดังสามารถให้หวยถูก100%หรือให้ถูกทุกงวดแน่นอน หรืออวดอ้างว่ารู้จักกับเจ้าหน้าที่กองสลาก แล้วเรียกเก็บเงินจากท่าน
ข้อมูลในเว็บนี้ใช้ประกอบเสี่ยงโชคสำหรับซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลเท่านั้น ไม่สนับสนุนหวยที่ผิดกฏหมาย