ปกิณณกะ > สุขภาพ-สมุนไพร

น้ำตาลกับโรคเบาหวาน

(1/1)

tiger:
น้ำตาลกับโรคเบาหวาน...
หากศึกษาจากประวัติศาสตร์โลกในอดีตที่ผ่านมาเริ่มต้นเมื่อมนุษย์เริ่มค้นพบการทำน้ำตาลทราย ในต้นศตวรรษที่ 13 เป็นครั้งแรกที่น้ำตาลเริ่มออกสู่ตลาดโลกเป็นครั้งแรกของอินเดียสู่ยุโรป  น้ำตาลมีราคาสูงที่สุดคือ ประมาณ 10,000 เหรียญต่อปอนด์ หรือ 4 แสนบาทต่อปอนด์ ดังนั้น เฉพาะเศรษฐีหรือพวก ไฮโซ ผู้ดีที่มั่งมีเท่านั้นที่จะได้ลิ้มรส โลโซ อย่างเรา อย่าหวัง แต่จากนั้นต่อมาราคาน้ำตาลก็ลดลงเรื่อยจนถึงปี ค.ศ. 1850 น้ำตาลกลายเป็นสินค้าราคาย่อมเยา และทุกคนสามารถหาซื้อได้จนกลายเป็นสินค้าประกอบอาหารยอดนิยมที่สุดในโลก  ในปี ค.ศ.1812 กองทัพ นโปเลียนของฝรั่งเศสต้องพ่ายแพ้ต่อการยึดรัสเซียมิใช่เพราะความหนาวเย็นของอากาศแต่เนื่องจากกองทัพฝรั่งเศสเริ่มบริโภคน้ำตาลเป็นอาหาร และเสบียงในสงคราม ความเข้มแข็งของทหารในกองทัพจึงถูกทำลายจากภายในด้วยสารซูโคส(น้ำตาลทราย)เช่นเดียวกันกับทหารอเมริกันที่ต้องพ่ายแพ้กลับไป เพราะน้ำตาลในอาหารจีไอทำลายเลือด ทำให้จิตใจรวนเร แปรปรวนไม่มีความอดทน หมดความรักชาติ เพราะทั้งอาหารเครื่องดื่มในกองทัพสหรัฐ เต็มไปด้วยส่วนผสมของน้ำตาลไม่มีสายลับหรือผู้ก่อการร้ายใดมีภัยเท่ากับน้ำตาลที่แฝงอยู่ในอาหารได้
เบาหวาน ถือเป็นโรคที่มีสาเหตุมาจาการบริโภคอาหารที่ทำมาจากน้ำตาลทราย ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติอาการผิดปกติมักมาจากน้ำตาลเข้าปากไปแล้วกลายเป็นกลูโคสอย่างรวดเร็ว และวิ่งเข้าสู่กระแสเลือดทั่วร่างกาย โดยไม่ผ่านกระบวนการย่อยสสารตามระบบกระเพาะลำไส้ดังที่ควรจะเป็น ทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรดในขณะเดียวกัน น้ำย่อยจากกระเพาะอาหารและตับอ่อนที่ได้รับสัญญาณกระตุ้นเตือนจากระบบประสาททางสมองที่ได้รับรสจากลิ้นบอกมาว่า จะมีน้ำตาลซึ่งเป็นกรดเข้ามาให้เตรียมหลั่งสารน้ำย่อย อินซูลินมารอเพื่อสกัดน้ำตาลให้เป็นกลูโคสที่สามารถซึมผ่านรากลำไส้เล็กไปเป็นวัตถุดิบสร้างเม็ดเลือดได้ตามที่ควรจะเป็น แต่น้ำตาลกลับไม่มาตามนัดน้ำย่อยจากตับอ่อนจึงต้องหลั่งรอเก้อเมื่อหลั่งมากเข้า แต่ไม่ได้ใช้ในการย่อยน้ำตาลทำให้เกิดอาการเลือดความดันน้ำตาลสูงสลับต่ำ ปริมาณน้ำตาลในเลือดสูงต่ำผิดปกติอย่างรวดเร็ว  ทำให้เกิดอาการตับอ่อนทำงานบกพร่อง ตามปรัชญาแพทย์จีนแล้ว ตับอ่อนเป็นอวัยวะหยิน แต่จะผลิตฮอร์โมนชื่อ อินซูลิน INSULIN ซึ่งเป็นปัจจัยหยางคอยถ่วงดุลและเป็นกันชนผสมกับน้ำตาลในเลือด เพื่อปรับดุลสภาวะเลือดให้คงความเป็นด่างเสมอ ตามปกติคนเราจะมีน้ำตาลในเลือดประมาณ 100 มิลลิกรัมต่อ 100 ซีซี ถ้าหากเมื่อใดปริมาณน้ำตาลในเลือดสูงเกินก็จะมีอาการเหนื่อยง่าย เพลีย ปัสสาวะบ่อย เพื่อขับน้ำตาลออก เมื่อใดที่เราปัสสาวะ เราก็จะขับเกลือแร่และสารสำคัญในร่างกายออกทิ้งด้วยทำให้ร่างกายติดลบแร่ธาตุจำเป็น ทำให้หิวบ่อย กินจุบกินจิบ ตลอดเวลาเพราะอาหารสังเคราะห์และสกัดง่ายจนร่างกายไม่ต้องออกแรงย่อยสะลายเลย เสียดุลการทำงานทั้งระบบทั้งยังกระทบต่อระบบย่อยไขมัน โปรตีน ต้องพลอยผิดดุลไปด้วย  เกิดอาการกลิ่นตัวแรง มีรอยดำด่างตามผิดหนังรวมไปถึงการผิดปกติของระบบสายตา ปวดฟัน ปวดกระดูก อาการตาต้อหิน ต้อกระจก ก็มาจากผลกระทบของโรคเบาหวานที่มีสภาวะเลือดเป็นกรดสูง เซลล์เนื้อเยื่อตาต้องถูกแช่อยู่ในของเหลวที่เป็นกรดการบำบัดของแพทย์แผนปัจจุบัน มักทำการรักษาโดยการฉีดอินซูลินให้กับคนป่วยโรคเบาหวานซึ่งเป็นการแก้ปัญหาทีปลายเหตุ ที่ควรจะงดน้ำตาล ลดปริมาณของหวานในอาหาร รวมทั้งผลไม้ด้วยเพราะสิ่งเหล่านี้คือที่มาของส่วนเกินของน้ำตาลในเลือด ปรับเมนูเป็นการรับประทานอาหารที่มีกาก เช่น ข้าวกล้อง ถั่ว พืชผักที่มีน้ำตาลเป็นน้ำตาลเชิงซ้อน PoLY หรือ COMPLEX SUGAR ที่จะเป็นน้ำตาลที่ร่างกายสามารถใช้งานได้ และต้องผ่านการย่อย ดูดซึมในลำไส้เล็กเสียก่อน จึงจะเป็นน้ำตาลที่มีคุณภาพ และทำให้น้ำตาลไม่กระจายสู่สายเลือดก่อนถึงกำหนดร่างกายก็ไม่ต้องนำเอาแคลเซียมจากกระดูกฟันมาคอยผสมถ่วงดุลและเป็นกันชน BUFFER ในขณะเดียวกันร่างกายไม่สามารถเก็บสะสมน้ำตาลที่มีมากเกินไปได้ในรูปของน้ำตาล แต่ต้องแปรสภาพเป็นไขมันแทนจึงจะสามารถเก็บสะสมได้ ไขมันจากการแปรสภาพจากน้ำตาลก็จะเริ่มสะสมตามสะโพก หน้าท้อง น่อง หน้าอกในรูปของไขมันที่เตรียมแปรเป็นน้ำนม  ปัจจุบันนี้สตรีชาติตะวันตกเริ่มตื่นตัวและพยายามควบคุมมิให้ไขมันสะสมในร่างกายมากเกินไป นอกจากนั้นแล้วการบริโภคน้ำตาลสูงยังก่อให้เกิดการสะสมในบริเวณรังไข่ ทำให้เกิดการบกพร่องบั่นทอนสมรรถภาพทางเพศ นำไปสู่สาเหตุการหย่าร้าง เบื่อหน่ายในคู่ชีวิต รวมไปถึงการทำลายระบบประสาท สมองความจำเสื่อม สติปัญญาตีบตัน นำไปสู่การเป็นมนุษย์ที่หมดสภาพเป็นคนไม่เต็มตัว หรือว่าจะเรียกว่า “คนคลุกด้วยคนน้ำตาลทรายดี” น่าจะอร่อยเน้อ 555 ล้อเล่น คนป่วยโรคเบาหวานควรหันมารับประทานข้าวกล้อง ถั่วแดงเม็ดเล็ก ต้มเคี่ยวกับฟักทอง หรือข้าวโพด และใส่หัวหอม จะช่วยบรรเทาความอยากน้ำตาลได้ และทำให้ร่างกายไม่ติดลบเพลียจากน้ำตาลในเลือกบกพร่องได้ และอีกเมนูหนึ่ง สาหร่ายทะเลแบบหนาต้มน้ำซุปผักก็เหมาะที่จะช่วยเสริมบำรุงเกลือแร่ ธาตุที่ถูกบั่นทอนไปจากน้ำตาล ในอดีตได้ ทั้งยังช่วยบำรุงกระดูกและฟัน แถมอีกเมนูไหนๆ ก้อบอกแล้ว ซูปเต้มเจี้ยว/มิโซ่พร้อมสาหร่ายเหมาะสำหรับเป็นอาหารเช้ารองท้องพร้อมข้าวต้ม ผักกาดเค็มและไซโป๊ว เต้าหู้ยี้ก็เหมาะสำหรับอาหารประจำวัน และลดปริมาณน้ำดื่มลงช่วยลดการปัสสาวะลงด้วย เพราะการปัสสาวะทุกครั้งอย่าลืมว่า ร่างกายต้องสูญเสียเกลือแร่สำคัญไปด้วยเช่นกัน  “ยาจริงรักษาโรคปลอม โรคจริงไร้ยาที่จะรักษา” ความหมาย สิ่งที่แท้จริงที่เยียวยาร่างกายของเรา หาใช่ยาไม่ หากแต่คือ ความสามารถของร่างกายเราเองต่างหาก ไม่ว่าจะเป็นบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ ตามผิวกาย หรืออาการเจ็บสาหัสของอวัยวะภายในก็ล้วนมีเพียงร่างกายของเราเท่านั้นที่จะรักษาเยียวยาให้หายขาดเองได้ ฝากเป็นข้อคิดให้ท่าน...เอาไว้เป็นข้อคิด เตือนสติ อย่างที่บอกครับ อยู่ใกล้ธรรมชาติเข้าไว้ ดีที่สุด

SLR:
 s#y s#y ;|'

puma:
 Y$@ Y$@ ;|' ;|'

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

Go to full version