"หวยซอง เลขเด็ด เขียนโดยสาธารณชน เป็นการเสนอแนะเพื่อเสี่ยงโชคซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ถูกกฎหมายเท่านั้น ไม่มีการขายหวยทุกชนิด และ ไม่มีใครทราบว่าหวยจะออกตัวไหน โปรดใช้วิจารณญาณ"

เรื่อง: ความรู้คู่ครัว และอาหาร
 
 4586

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

  • พลังน้ำใจ: 4019
05 มิถุนายน 2015, 10:55:13น.
ใบมะกรูด

ที่บ้านมักเจอปัญหา มอดขึ้นข้าว ทั้งข้าวเจ้า และข้าวเหนียว

ไปตลาด ถามแม่ค้าว่า ทำยังไงถึงจะไม่ให้มอดขึ้นข้าว

แม่ค้าบอกว่า ใช้ใบมะกรูด ฉีกแบบต้มยำ เสร็จแล้ว ใช้รองก้นภาชนะ ที่จะใส่ข้าว

เจอคนหนึ่งบ้านเขาทำนา เขาบอกว่า นำใบมะกรูดไปตากแดด จนใบมะกรูดแห้ง ใส่ลงในข้าว ข้าวเก็นเป็นปี มอดไม่มีขึ้น

ลองใช้ทั้งสองวิธี ฉีกเสร็จ ตากใบมะกรูดให้แห้งก่อน เสร็จแล้วนำมาฉีก วางรองก้นกล่องที่ใส่ข้าว ใส่แบบหนาๆ

ตั้งแต่สงกรานต์ ข้าวเหนียวที่นำมาจากแพร่ ประมาณสองถัง ยังไม่มีมอดขึ้น


http://northerngreencrops.tarad.com/product-th-0-598929-%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%87+%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%84+250+%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A1(+Dried+kaffir+lime+laef+).html


http://frynn.com/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%94/





แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06 มิถุนายน 2015, 13:27:58น. โดย walaioo


  • พลังน้ำใจ: 4019
ตอบกลับ #1 05 มิถุนายน 2015, 12:00:37น.
น้ำมันมะกอก (OLIVE OIL)

มะกอก (Olive) เป็นพืชในวงศ์ Oleaceae ต่างวงศ์กับมะกอกฝรั่งที่กินเป็นผลไม้ในบ้านเรา
มะกอกจัดเป็นไม้ผลเศรษฐกิจของประเทศในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เช่น กรีซ อิตาลี ฝรั่งเศษ สเปน อิสราเอล
ผลมะกอกมีรูปทรงค่อนข้างกลม รสฝาดและขม ไม่กินเป็นผลสด นิยมนำมาทำมะกอกดองเพื่อใช้ประกอบอาหาร หรือแปรรูปเป็นน้ำมันมะกอก
ซึ่งเป็นน้ำมันพืชที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน เนื่องด้วยประโยชน์และสรรพคุณที่มีอยู่เปี่ยมล้น

สภาน้ำมันมะกอกนานาชาติ (International Olive Council : IOC)
ได้แบ่งชนิดของน้ำมันมะกอกตามคุณภาพ จากปริมาณกรดในน้ำมัน ดังนี้

ชนิดบริสุทธิ์ (Virgin or Pure olive oil) ความเป็นกรดไม่เกินร้อยละ 4

ชนิดบริสุทธิ์ดี (Fine olive oil) ความเป็นกรดร้อยละ 1.5-3

ชนิดบริสุทธิ์ดีมาก (Superfine virgin olive oil) ความเป็นกรดต่ำไม่เกินร้อยละ 1.5

และชนิดคุณภาพดีที่สุด คือชนิดบริสุทธิ์พิเศษ (Extra virgin olive oil) ความเป็นกรดต่ำกว่าร้อยละ 1



น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ ได้จากการสกัดน้ำมันจากผลมะกอกโดยไม่ใช้ความร้อน ไม่ใช้สารเคมี ลักษณะเป็นน้ำมันใสสีเขียวเรื่อ ๆ
มีรสชาติและกลิ่นของมะกอกเข้มข้น รสชาติและกลิ่นเฉพาะตัวของมะกอกนี้เกิดจาก สารไฮดรอกซีไทโรซอล (Hydroxytyrosol)
ซึ่งเป็นสารกลุ่มฟีโนลิก ที่ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ โดยมีผลการวิจัยพบว่าสามารถลดความดันโลหิต ป้องกันโรคหัวใจและยับยั้งมะเร็งเต้านมได้

เหตุที่น้ำมันมะกอกเป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพ เพราะมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวซึ่งมีกรดโอเลอิก (Oleic acid) เป็นหลักอยู่ถึงกว่าร้อยละ 70
กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวมีคุณสมบัติในการลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL)

การบริโภคน้ำมันมะกอกในปริมาณสูง จะทำให้มีความต้านทานต่อโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้ดี จึงมีผลในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
แม้แต่สมาคมเบาหวานแห่งสหรัฐอเมริกาก็แนะนำให้ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 กินน้ำมันมะกอกให้มากขึ้น

ในน้ำมันมะกอกยังมีอัลฟาโตโคฟีรอล (Alpha-tocopheral) ซึ่งอยู่ในรูปของวิตามินอี แคโรทีนในรูปของโปรวิตามินเอ
และสารประกอบกลุ่มโพลีฟีนอล จึงมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ

น้ำมันมะกอกมีคุณสมบัติในการย่อยอาหารและเป็นยาระบายอ่อน ๆ
กินน้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ ในตอนเช้าขณะกระเพาะว่าง เป็นผลดีมากสำหรับผู้ที่ท้องผูกเรื้อรัง
น้ำมันมะกอกช่วยในการดูดซึมสารอาหาร โดยเมื่อร่างกายได้รับน้ำมันมะกอกเพิ่มขึ้น
การดูดซึมแร่ธาตุเข้าสู่เนื้อกระดูกก็จะมากขึ้นด้วย

ร่างกายของคนในวัยกำลังเจริญเติบโตและวัยผู้ใหญ่จึงจำเป็นต้องได้รับน้ำมันมะกอก
เพื่อลดการสูญเสียแคลเซียมของร่างกาย น้ำมันมะกอกยังกระตุ้นการไหลเวียนของน้ำดี จึงช่วยป้องกันการก่อตัวของนิ่วในถุงน้ำดีได้ด้วย

น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ เหมาะสำหรับปรุงน้ำสลัดหรือเป็นเครื่องปรุงรส มากกว่าจะนำมาใช้ทอดหรือผัด
 เพราะความร้อนจะทำให้น้ำมันเสียรสได้

โดยเฉพาะผู้ที่ลองใช้น้ำมันมะกอกใหม่ ๆ อาจจะยังไม่ชินกับกลิ่นฉุนแรงของน้ำมันมะกอกเกรดสูง ดังนั้น
 ให้เลือกใช้น้ำมันมะกอกชนิดเกรดรองลงมาปรุงอาหารพวกทอดหรือผัด เพราะนอกจากกลิ่นจะอ่อนลงแล้ว ราคายังถูกกว่าด้วย

ส่วนวิธีการเก็บรักษาน้ำมันมะกอกให้คงกลิ่นและสรรพคุณไว้นานที่สุด ควรเก็บในภาชนะกันอากาศ แล้วนำไปไว้ในตู้เย็น หรือสถานที่มืดและอุณหภูมิต่ำ





 การเลือกน้ำมันมะกอกในการล้างพิษตับและถุงน้ำดีนั้น ดูได้ที่ฉลากข้างขวด มีคำว่า Extra Virgin Olive Oil สกัดแบบ cold pressed
คือ น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ หีบเย็น แต่ละประเทศที่ผลิตน้ำมันมะกอกจะมีลักษณะเด่นเป็นของตัวเอง เช่น
                a) Greece จะมีความข้นกว่า (Heavy Texture)
                b) Spain จะมีกลิ่นและรสชาติที่แรงกว่าประเทศอื่น
                c) ฝรั่งเศส (Provencal) จะมีกลิ่นหอมหวาน (Fruity)
                d) Italy จะคล้ายกับ Spain จะมีกลิ่นที่เด่นกว่าเหมือนกัน
             
มะกอกพันธุ์ดีที่สุด คือ Green Provencal หรือ Tuscan Olives   

น้ำมันมะกอก Extra Virgin Olive Oil(cold pressed)
ช่วยการหมุนเวียนของโลหิต
     
น้ำมันมะกอก ช่วยป้องกันภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (arteriosclerosis) รวมทั้งภาวะอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง หัวใจล้มเหลว หัวใจวาย ไตวาย และเส้นเลือดในสมองแตก

ระบบย่อยอาหาร
น้ำมันมะกอก ช่วยให้ระบบการทำงานของส่วนต่างๆ ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกระเพาะอาหาร ตับอ่อน ลำไส้ และถุงน้ำดี ทั้งนี้ยังช่วยป้องกันการก่อตัวของนิ่วอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลบ่งชี้ว่าน้ำมันมะกอกช่วย บรรเทาอาการกระเพาะอักเสบ แผลในกระเพาะ และยังเป็นยาระบายอ่อนๆ
         
ผลต่อผิวหนัง
น้ำมันมะกอก ช่วยปกป้องหนังกำพร้า ช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น ซึ่งเกิดจากวิตามินอี และ สารต้านอนุมูลอิสระในน้ำมันมะกอกนั่นเอง
นอกจากนี้ยังใช้ได้ผลดีในการป้องกันโรคผิวหนังและลดริ้วรอยเหี่ยวย่น


ระบบต่อมไร้ท่อ
 น้ำมันมะกอก ช่วยให้ระบบการเผาผลาญอาหาร (metabolic function) ภายในร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
น้ำมันมะกอกได้กลายเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ในการป้องกันและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานจาก
การศึกษาล่าสุดพบว่าระดับกลูโคสของผู้ที่มีสุขภาพดีจะลดลง12% เมื่อรับประทานน้ำมันมะกอก
 
ผลต่อกระดูก
น้ำมันมะกอก ช่วยในการเสริมสร้างกระดูก และช่วยให้ร่างกายของคนเรามีประสิทธิภาพในการดูดซึมแร่ธาตุ
และแคลเซี่ยมได้ดี และสามารถป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ด้วย

ลดภาวะเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง
น้ำมันมะกอก ช่วยป้องกันเนื้องอกที่เกิดกับอวัยวะบางส่วน (เต้านม ต่อมลูกหมาก ลำไส้ใหญ่ ปีกมดลูก)
ทั้งนี้เพราะกรดไขมันที่มีอยู่ในน้ำมันมะกอกนั้นช่วยยับยั้งอนุมูลอิสระ และช่วยต่อต้านการก่อตัวของติ่งเนื้อในอวัยวะต่างๆ ที่กล่าวมา


เหมาะใส่ในอาหารเด็กอ่อน
ด้วยสารประกอบในน้ำมันมะกอกและคุณสมบัติในการช่วยย่อยอาหาร จึงนับได้ว่าน้ำมันมะกอกเป็น ไขมันธรรมชาติที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำนมมารดามากที่สุด
 
ป้องกันความชราภาพ
การที่เรารู้จักหาวิธีการเพื่อต่อต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย ของเรา เพื่อป้องกันภาวะ ความเสื่อมถอยของสุขภาพอันเนื่องมาจากอายุที่เพิ่มขึ้นนั้นนับว่าเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
จากการค้นคว้าวิจัยเราได้ทราบว่าน้ำมันมะกอกมีคุณสมบัติในการต่อต้านภาวะความเสื่อมถอยของสมองและยังช่วยยืดอายุของเราให้ยืนยาวขึ้นอีกด้วย

ลดภาวะโรคหลอดเลือดหัวใจ
จากการค้นคว้าวิจัยพบว่า น้ำมันมะกอกนั้นสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL)
ในขณะเดียวกันจะไม่ทำให้คอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ลดระดับลง



หัวใจล้มเหลว
ปัจจุบัน เชื่อกันว่าการอักเสบ มีอิทธิพลต่อโรคหลอดเลือดต่างๆ โรคมะเร็งบางชนิด และโรคหลงลืมในคนสูงวัย
ซึ่งอาจช่วยอธิบายได้ว่า เหตุใดอาหารที่ปรุงด้วยน้ำมันมะกอกจึงช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง หัวใจล้มเหลว หัวใจวาย ไตวาย และเส้นเลือดในสมองแตก







น้ำมันมะกอก แบ่งออกมา 5  ชนิด




1.น้ำมันมะกอกชนิด เอ็กซ์ตร้า เวอร์จิ้น
1. น้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้า เวอร็จิ้น (Extra Vigin Olive Oil)

มีสีเขียวเข้ม รสชาติเหมือนผลมะกอก เหมาะสำหรับการทำซอสพาสต้า และน้ำสลัด หรือใช้ปรุงอาหารที่ไม่ผ่านความร้อน จัดเป็นน้ำมันมะกอกที่ดีที่สุด
ซึ่งมีสารสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพสูงกว่าน้ำมันมะกอกชนิดอื่น ผลิตโดยไม่ผ่านกระบวนการทางเคมีหรือความร้อน ใช้วิธีการบีบเอาน้ำมันจากผลมะกอกสด (cold pressing process)


มีรสชาติเข้มข้น เต็มรส และให้กลิ่นหอมของมะกอก
น้ำมันมะกอกชนิดนี้ให้รสชาติของความเป็นเมดิเตอร์เรเนียนกับเมนูของคุณโดยไม่กลบรสชาติของส่วนผสมอื่น
เหมาะสำหรับจิ้มขนมปัง, เหมาะกับการทำพาสต้าซอส, และทำน้ำสลัด


น้ำมันมะกอก แบบบริสุทธิ์บีบเย็น (Cold Press) หรือที่เรียกว่า Pure Extra Virgin Olive Oil
เป็นน้ำมันมะกอกบริสุทธ์ที่มีคุณค่าดีที่สุด สกัดโดยไม่ผ่านกระบวนการเคมีแต่อย่างใด เพียงแค่ใช้วีธีบีบเย็น มีสีเขียวหรือสีเหลืองทอง ให้กลิ่นและรสแรง ถือว่ามีคุณสมบัติดีที่สุดเหมาะสำหรับการดื่มเพื่อล่อให้น้ำดีออกมา
       
          
น้ำมันมะกอก มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวหนึ่งตำแหน่งเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเป็นกรด โอเลอิค ถึงร้อยละ 71
เป็นกรดไขมันอิ่มตัวประมาณร้อยละ 16 และเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งร้อยละ 11
       
          
น้ำมันมะกอกเป็นน้ำมันชนิดที่ทนทานต่อกระเพาะได้มากที่สุด เนื่องจากมีกรดโอเลอิคอยู่ในปริมาณสูง
จึงมีผลในการช่วยป้องกันโรคกระเพาะอาหารอักเสบและอาการอักเสบที่กระเพาะและลำไส้ตอนต้น ช่วยลดแผลในกระเพาะและลำไส้ได้
       
น้ำมันมะกอกยังมีประโยชน์ต่อระบบน้ำดี และยังเป็นยาระบายอ่อนๆอีกด้วย
       
          
น้ำมันมะกอก ช่วยภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว (arteriosclerosis) ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง หัวใจล้มเหลว หัวใจวาย ไตวาย เส้นเลือดในสมองแตก
และยังสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) ในขณะเดียวกันจะไม่ทำให้คอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ลดระดับลง
ช่วยการดูดซึมแร่ธาตและแคลเซียมได้ดีทำให้ป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ และยังช่วยป้องกันเนื้องอกที่เกิดกับอวัยวะบางส่วน (เต้านม ต่อมลูกหมาก ลำไส้ใหญ่ ปีกมดลูก)
เพราะกรดไขมันที่มีอยู่ในน้ำมันมะกอกนี้ช่วยยับยั้งอนุมูลอิสระ และหากนำมาทาที่ผิวหนังวิตามินอีในนั้นมะกอกก็จะช่วยทำให้ผิวหนังก็จะทำให้มีความยืดหยุ่นลดริ้วรอยเหี่ยวย่น
อีกทั้งยังช่วยให้ระบบการเผาผลาญอาหารภายในร่างกายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย ส่งผลทำให้น้ำตาลในเลือดลดลง


น้ำมันมะกอกถึงแม้จะมีแคลอรี่สูง แต่มีข้อดี คือ มีกรดไขมันชนิดที่เป็นประโยชน์กับร่างกายสูง ทำให้ไม่เกิดไขมันสะสมในร่างกาย
และน้ำมันมะกอกยังช่วยให้คนที่มีอาการนอนกรนลดเสียงกรนให้เบาลงได้ ด้วยการกินน้ำมันมะกอกสำหรับทำอาหาร ซึ่งควรเลือกแบบ EXTRA VIRGIN OLIVE OIL
เพราะ เป็นแบบบริสุทธิ์ มีสีเขียวเข้มใส และนิยมนำมาใช้ในการทำสลัด

กินสัก 4-5 หยดก่อนนอน ทำอย่างต่อเนื่อง และทำควบคู่ไปกับวิธีดูแลสุขภาพอื่นๆ ร่วมด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในระดับมาตรฐาน จะช่วยแก้ปัญหานอนกรน ให้หมดไปได้

 




2. น้ำมันมะกอกเวอร์จิน หรือ (Virgin Olive Oil)

เหมาะสำหรับการทำพาสต้าซอส, และทำน้ำสลัด ผลิตโดยไม่ผ่านกระบวนการทางเคมีหรือความร้อน ใช้วิธีการบีบเอาน้ำมันจากผลมะกอกสด (cold pressing process)
แต่จะใช้ผลมะกอกที่แก่กว่าน้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้า เวอร็จิ้น มีคุณภาพรองลงมาจากน้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้า เวอร์จิ้น (Extra Vigin Olive Oil) และมีราคาถูกกว่า






3. น้ำมันมะกอกที่มีการผสม (Olive Oil, Pure Olive Oil)

เหมาะสำหรับการใช้ผัดหรือทอดในระยะเวลาสั้นๆ เช่น ทอดไข่เจียว หรือ ผัดผัก เป็นต้น
มีการผสมกันระหว่างน้ำมันมะกอกชนิด Extra Vigin Olive Oil กับน้ำมันมะกอกที่ผ่านกรรมวิธีเพื่อเพิ่มประโยชน์มากขึ้นและราคาไม่แพงจนเกินไป

น้ำมันมะกอกชั้นดี อย่าง Extra Virgin ที่เป็นการบีบน้ำมันจากผลมะกอกโดยตรง โดยไม่ผ่านกระบวนการใดๆ จึงเหมาะสำหรับนำมารับประทานโดยตรง
โดยราดบนอาหารหรือ ผสมในน้ำมันสลัด และไม่นิยมนำมาผัดหรือทอด

เนื่องจากโครงสร้างทางโมเลกุลของน้ำมันมะกอก Extra Virgin จะมีโครงสร้างที่บอบบางมาก และกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวในน้ำมันจะช่วยเพิ่มไขมันในเส้นเลือด (HDL)
ซึ่งการนำไปผัดหรือทอดด้วยความร้อนสูง จะทำลายโครงสร้างโมเลกุล และอาจเป็นอันตรายได้ เนื่องจากการแตกตัวของอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็ง

ถ้าหากคิดจะใช้น้ำมันมะกอกเพื่อผัดหรือทอดอาหารล่ะก็ ให้ใช้น้ำมันเกรดรองลงมา อย่าง Refined Olive หรือ Pure ซึ่งเป็นน้ำมันที่ผ่านกระบวนการกลั่นกรอง



น้ำมันมะกอกชนิด คลาสสิโค
 นำไปใช้ได้หลากหลายรูปแบบ เหมาะอย่างยิ่งกับการประกอบอาหารเพื่อสุขภาพ
น้ำมันมะกอกชนิดนี้จะยังคงความเสถียรแม้ในอุณหภูมิที่สูง จึงทำให้เหมาะสำหรับการทอด, การอบ,
และยังเหมาะกับการประกอบอาหารที่ใช้ผักเป็นส่วนประกอบหลักอีกด้วย







4. น้ำมันมะกอกผ่านกรรมวิธี (Refined Olive Oil, Light Olive Oil, Extra Light Olive Oil)

เหมาะสำหรับการทอดนานๆ เช่น ทอดปลา ทอดน่องไก่ เป็นต้น เป็นน้ำมันมะกอกที่ใช้กระบวนการทางเคมี
ผ่านการใช้ความรร้อน มีการสกัดกลิ่น สี รส ออกไป ทำให้สูญเสียสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเป็นจำนวนมาก มีสีอ่อนกว่าชนิดอื่น และราคาค่อนข้างถูก

 เหมาะที่จะนำไปใช้แทนน้ำมันพืชทั่วไปได้เป็นอย่างดี เหมาะทั้งการอบ, การทอด,
รวมถึงการประกอบอาหารที่ใช้ความร้อนสูง และการผัด


โดยเฉพาะผู้ที่ลองใช้น้ำมันมะกอกใหม่ ๆ อาจจะยังไม่ชินกับกลิ่นฉุนแรงของน้ำมันมะกอกเกรดสูง
ดังนั้น ให้เลือกใช้น้ำมันมะกอกชนิดเกรดรองลงมาปรุงอาหารพวกทอดหรือผัด  เพราะนอกจากกลิ่นจะอ่อนลงแล้ว ราคายังถูกกว่าด้วย
 



5. น้ำมันกากมะกอก (Olive Pomace Oil)

เหมาะสำหรับการนำมาทอดอาหารที่ใช้ความร้อนสูง ผลิตโดยการสกัดน้ำมันจากกากมะกอก
ผ่านกระบวนการทางเคมีและความร้อน เป็นน้ำมันมะกอกที่มีคุณภาพต่ำที่สุด แต่ก็ถือเป็นน้ำมันที่ใช้ในการประกอบอาหารได้อยู่






ส่วนวิธีการเก็บรักษาน้ำมันมะกอกให้คงกลิ่นและสรรพคุณไว้นานที่สุด
ควรเก็บในภาชนะกันอากาศ แล้วนำไปไว้ในตู้เย็น หรือสถานที่มืดและอุณหภูมิต่ำ









ที่บ้านใช้ยี่ห้อ SABROSO ไว้สำหรับทำอาหารประเภทผัด
หากทอด จะใช้เฉพาะ ไข่ดาว ไข่เจียว ใช้ประมาณ 1 ช้อนชา ใช้กระทะเทปล่อนขนาดเล็ก ชนิดเคลือบ 5 ชั้น 

 

  • พลังน้ำใจ: 4019
ตอบกลับ #2 06 มิถุนายน 2015, 13:47:58น.
ภาชนะหุงต้ม

อันตรายจากภาชนะหุงต้ม ในครัว (Health&Cuisine)

         
ในยุคที่ผู้คนตื่นตัวในเรื่องของสุขภาพ สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนเราหวาดผวากันมากคือ สารพิษปนเปื้อนที่มากับอาหาร
แต่สารพิษส่วนหนึ่งที่เราได้รับ อาจเกิดขึ้นจากภาชนะในครัวเรือนที่ใช้กันอยู่ทุกวัน

         
เมื่อหลายปีที่แล้วนักวิจัยได้เตือนผู้บริโภคว่า อะลูมิเนียมอาจมีส่วนที่ทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์
ทำให้ผู้บริโภคพากันโยนหม้อ กระทะที่ทำจากอะลูมิเนียมทิ้งเป็นจำนวนมาก

แต่ข้อมูลการวิจัยในปัจจุบันพบว่า อะลูมิเนียมที่ละลายออกมาปนในอาหารมีปริมาณเพียงเล็กน้อย ซึ่งไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ 
ดังนั้นการใช้ภาชนะอะลูมิเนียมหุงต้มอาหารจึงค่อนข้างปลอดภัย

           
ภาชนะที่ทำจากสเตนเลส เป็นภาชนะที่นิยมใช้รองลงมา สเตนเลสมีส่วนผสมของโลหะหลายชนิด เช่น นิกเกิล โครเมียม เหล็ก และโมลิบเดนัม 
จากการวิจัยพบว่าภาชนะเครื่องครัวที่ทำจากสเตนเลส อาจให้ประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะสเตนเลสมีส่วนผสมของโครเมียมและธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย
เมื่อนำมาใช้หุงต้มก็จะมีธาตุเหล่านั้นออกมาปะปนในอาหารเพียงเล็กน้อย จึงไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่กลับให้ประโยชน์ต่อผู้ที่ขาดโครเมียมและธาตุเหล็ก

           
แต่ขณะเดียวกัน สารนิกเกิลอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการของผิวหนังได้ ในผู้ที่แพ้นิกเกิล 
อย่างไรก็ตาม นิกเกิลจะละลายออกมาในอาหารที่เครื่องปรุงมีฤทธิ์เป็นกรด เช่น การใช้น้ำส้มสายชูหรือซอสมะเขือเทศ 
สำหรับคนที่มีอาการแพ้สารนิกเกิล ก็อาจจะเลือกใช้ภาชนะสเตนเลสที่เคลือบสารอีนาเมลซึ่งเป็นสารเคมีที่ไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยากับอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด

         
 ภาชนะที่ทำมาจากทองแดง ตอบสนองต่อความร้อนได้ดี แต่ถ้านำมาปรุงอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรดจะสามารถละลายทองแดงออกมาได้
ทองแดงจะเป็นธาตุที่สำคัญต่อร่างกายในการช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง การได้รับทองแดงในปริมาณเล็กน้อยไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ

แต่ถ้าร่างกายได้รับการสะสมทองแดงในปริมาณมากเกินระดับที่ควรมีในเลือด จะทำให้เกิดอาการท้องเสียและอาเจียนจากทองแดงเป็นพิษได้
 เพื่อป้องกันปัญหานี้ภาชนะที่ทำจากทองแดง จึงได้รับวิวัฒนาการขึ้นมาด้วยการเคลือบดีบุก แต่ดีบุกที่เคลือบไว้ก็จะมีการเสื่อมไปตามอายุการใช้งาน ฉะนั้นเมื่อใช้ไปนาน ๆ ก็ควรจะมีการเปลี่ยนใหม่   

           
ภาชนะที่เคลือบสารเทฟลอน สารชนิดนี้ช่วยป้องกันการติดของอาหาร ทั้งยังทำความสะอาดง่าย และช่วยลดปริมาณไขมันในการปรุงอาหารได้ด้วย
เพราะภาชนะหากไม่เคลือบเทฟลอนจะต้องใช้น้ำมันมากขึ้นเวลาผัดหรือทอด เพื่อไม่ให้อาหารติดกระทะ
อนึ่งหากมีการลอกหลุดของสารที่เคลือบปะปนกับอาหาร ก็จะไม่เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค เนื่องจากเป็นสารที่ไม่เป็นพิษ ร่างกายไม่สามารถดูดซึมเข้าไปได้และจะถูกขับถ่ายออกมา

         
 ภาชนะเซรามิก ภาชนะชนิดนี้มีส่วนผสมของสารตะกั่วอยู่ หากมีอยู่ในปริมาณที่มากเกินไปจะเป็นอันตรายได้ เมื่อนำไปใส่อาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด 
รวมทั้งมีข้อเตือนว่าไม่ควรใช้ภาชนะประเภทนี้กับกาแฟร้อน ชาร้อน ซุปมะเขือเทศ และน้ำผลไม้เพราะจะทำให้สารตะกั่วละลายออกมาได้

           
สารตะกั่วเป็นอันตรายต่ออวัยวะและระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ตับ ไต ระบบสืบพันธุ์ ระบบหมุนเวียนโลหิตหัวใจ ระบบภูมิต้านทาน  และระบบย่อยอาหาร
สารตะกั่วจะถูกดูดซึมเข้าไปสะสมอยู่ในอวัยวะต่าง ๆ โดยเฉพาะในกระดูกจะสะสมปนกับแคลเซียม เพราะร่างกายไม่สามารถจะแยกระหว่างสารตะกั่วและแคลเซียมได้
ถ้าสารตะกั่วสะสมในปริมาณมากจะทำให้เกิดพิษได้ ถ้าเกิดขึ้นในเด็กสารตะกั่วจะทำลายเซลล์สมอง ทำให้สมรรถภาพในการเรียนรู้เสียไป ยับยั้งการเจริญเติบโตทำให้ร่างกายแคระแกรน และตายในที่สุด

         
ฉะนั้น เพื่อความปลอดภัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหญิงตั้งครรภ์ ไม่ควรใช้ภาชนะเซรามิกบรรจุเก็บรักษาอาหาร หรือแม้กระทั่งเครื่องดื่มในชีวิตประจำวัน 

 ข้อแนะนำเพื่อความปลอดภัยในการใช้ภาชนะ

           หลีกเลี่ยงการเก็บรักษาอาหารเป็นเวลานาน ๆ ในภาชนะหุงต้ม เมื่อปรุงอาหารเสร็จแล้ว อาหารที่เหลือควรเก็บไว้ในภาชนะพลาสติกหรือภาชนะที่ทำด้วยแก้ว

           ทำความสะอาดภาชนะตามคำแนะนำของผู้ผลิต หลีกเลี่ยงการขัดถูที่จะทำให้ผิวหน้าของภาชนะถลอกหรือหลุดลอก   

 พลาสติกในครัวเรือนปลอดภัยเพียงใด ?

          สารเคมีที่สลายจากพลาสติกสามารถผ่านเข้าไปในอาหารได้ ไม่ว่าจะถูกความร้อนหรือไม่ แต่ความร้อนและแสงจะเร่งกระบวนการให้เกิดเร็วขึ้น คำถามที่ตามมาคือ สิ่งเหล่านั้นก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพในอนาคตได้หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารประเภทที่ทำลายฮอร์โมน  สารประเภทนี้จะรบกวนหรือยับยั้งการทำงานของฮอร์โมนธรรมชาติในร่างกาย ลดปริมาณอสุจิ ทำให้เด็กเป็นสาวเร็วกว่าอายุที่ควรและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็ง

          พลาสติกที่สลายตัวสามารถที่จะผ่านเข้าไปปะปนกับอาหาร พบได้มากในภาชนะใช้ใส่อาหารซื้อกลับบ้าน อาหารที่บรรจุในภาชนะประเภทนี้เป็นเวลานาน จะมีกลิ่นและรสของพลาสติกชนิดนี้ติดมาด้วย

          อาหารประเภทที่เป็นกรด จะดูดซึมสารพลาสติกได้ดีกว่าอาหารชนิดที่เป็นด่างหรือกรดต่ำ ความร้อนสูง ๆ เช่น จากเตาไมโครเวฟ และความเย็นจากตู้เย็นสามารถเพิ่มปริมาณการดูดซึมสารพลาสติกเข้าไปในอาหารได้ 

          แม้แต่พลาสติกที่ใช้กับเตาไมโครเวฟก็อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ อันตรายที่มักเกิดขึ้นคือ ผู้บริโภคมักใช้ภาชนะพลาสติกที่ไม่ได้ระบุว่า ใช้กับตู้อบไมโครเวฟอุ่นอาหาร ทำให้พลาสติกละลายเข้าไปในอาหารและยังทำลายรสชาติของอาหารที่อุ่น
 
 ข้อแนะนำสำหรับการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติก

           เวลาอุ่นอาหารในตู้อบไมโครเวฟ เลือกภาชนะที่ทำจากแก้วหรือเซรามิคแก้ว หลีกการเลี่ยงการใช้ภาชนะพลาสติก แม้จะระบุว่าปลอดภัยในการใช้กับไมโครเวฟ 

           ไม่ใช้พลาสติกห่ออาหารในการปรุงหรืออุ่นอาหารในตู้อบไมโครเวฟ

           อาหารประเภทเนื้อสัตว์ หรือซีสใช้วัสดุประเภทโฟลีเอ็ทธีลีนห่อเพราะไม่มีสารพลาสติก หรือถ้าจะให้ดีไปกว่านั้นห่อด้วยแผ่นอะลูมิเนียมฟอยล์หรือกระดาษไข

           อาหารที่เหลือ เก็บไว้ในภาชนะประเภทที่ทำด้วยแก้ว

           ภาชนะพลาสติกที่เก่าชำรุดไม่ควรนำมาใช้ต่อ

 เตาไมโครเวฟ

          สิ่งที่ผู้บริโภคต้องระวังในการใช้เตาไมโครเวฟ คือ ภาชนะที่ใช้ใส่อาหารประเภทโลหะ กระดาษอะลูมิเนียม นมบรรจุในกล่องกระดาษที่บุด้านในด้วยอะลูมิเนียม
จานชามที่มีขอบเป็นโลหะเงินหรือโลหะทอง ไม่ควรใช้กับเตาไมโครเวฟ โลหะ เช่น ลวดที่ใช้มัดถุงพลาสติกควรแกะออก มิฉะนั้นอาจทำให้เกิดการติดไฟ และอาจเกิดไฟไหม้ภายในตู้อบไมโครเวฟได้

 สารรังสีที่รั่วจากเตาไมโครเวฟ มีอันตรายเพียงใด

          ปริมาณของสารรังสีที่รั่วจากตู้อบไมโครเวฟค่อนข้างต่ำ และไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะก่อให้เกิดอันตราย สิ่งที่แม่บ้านควรระวังเป็นพิเศษ
คือ เมื่อวัสดุตามขอบประตูชำรุดหรือหากมีรอยร้าวและรอยแตก เศษอาหารติดอยู่ตามขอบตู้ทำให้ประตูปิดไม่สนิท หรือ การชำรุดของตู้เนื่องจากการขนย้าย หรือเกิดเปลวไฟภายในตู้
จะทำให้มีปริมาณรังสีรั่วมากกว่าระดับปกติซึ่งเป็นอันตรายได้

          สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจที่ใส่เครื่องควบคุมระบบการทำงานของหัวใจ (pacemakers) โดยเฉพาะรุ่นเก่า
ซึ่งไม่สามารถจะป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จากตู้อบไมโครเวฟเหมือนเครื่องควบคุมรุ่นใหม่
ควรอยู่ห่างจากตู้อบไมโครเวฟประมาณ 5 ฟุต และพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการผิดปกติ







  • พลังน้ำใจ: 1
ตอบกลับ #3 08 มิถุนายน 2015, 13:56:26น.
คนเราอ่ะถ้ารักสุขภาพต้องรู้จักรักตัวเอง

  • พลังน้ำใจ: 2
ตอบกลับ #4 27 กรกฎาคม 2015, 12:29:34น.
มีประโยชน์มากเลยครับเว็บนี้

หวยซอง เลขเด็ด อภิโชควิเคราะห์เลขรวย หวยรัฐบาล : Apichoke.net

Re: ความรู้คู่ครัว และอาหาร
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2015, 12:29:34น. »

สมาชิกระดับอาจารย์ C6 *****
  • พลังน้ำใจ: 27418
ตอบกลับ #5 27 กรกฎาคม 2015, 23:12:13น.
 +|p ty: ty: ty: |kk |kk |kk

  • พลังน้ำใจ: 4019
ตอบกลับ #6 23 สิงหาคม 2015, 22:44:04น.
ลอดช่อง น้ำกะทิ

ลอดช่องตัวใหญ่ ถุงละ ๒๐ บาท
น้ำกะทิสด แยกหัวกับหาง ครึ่งโล ๒๕ บาท
น้ำตาลโตนด ครึ่งโล ๒๐ บาท
หรือจะใช้น้ำตาลปี๊บจากอ้อยก็ได้


วิธีทำน้ำกะทิลอดช่อง
เพื่อนเคยทำให้กิน ทำแบบกะทิสด
ใช้หัวกะทิ ใส่น้ำตาลปี๊บ ใช้มือบี้ๆจนน้ำตาลละลายหมด
นำมาใส่ลอดช่อง ทั้งหวานหอม อร่อยจริงๆ

หากทำกินเอง น้ำกะทิสด ถ้าเหลือ จะเสียง่าย
ครั้งนี้ทำกินเอง(ชอบกินลอดช่องน้ำกะทิ)

ส่วนผสม
หัวกะทิครึ่งโล แบ่งออกมาครึ่งหนึ่ง
ใช้กระมัง ใส่หัวกะทิที่เหลือ
ใส่น้ำตาลโตนดครึ่งโล
ใช้ทัพพีบี้ให้แตก
นำตั้งขึ้นเตา ใช้ไฟอ่อนสุด(วงกลาง)
บี้ๆน้ำตาลไปเรื่อยๆ คนไปเรื่อยๆ จนน้ำตาลละลายหมด
ยกลงจากเตา ทิ้งไว้ให้เย็น จะเก็บไว้ได้นานกว่า

หัวกะทิที่เหลือ ใส่หม้อ ตั้งไฟอ่อน คนไปเรื่อยๆ อย่าปล่อยให้เดือด หรือแตกมัน ให้เป็นน้ำกะทินิ่งๆ
หัวกะทินี้ มีไว้สำหรับเติม
หากน้ำกะทิที่ทำไว้ หวานเกินไป ใช้น้ำกะทิส่วนนี้เติมลงไป
จะได้กินลอดช่องน้ำกะทิ รสชาติหวานมัน ถูกใจ

หากซื้อเขากินน่ะเรอะ ถุงละ ๒๐-๓๐ บาท
เคยเจอน้ำกะทิบูด ตั้งแต่นั้นมา เลิกซื้อกิน
อยากแพงดีนัก แถมเจอบูดอีก ทำกินเองก็ได้


ลืมบอกไปว่า หัวกะทิที่เคี่ยวไว้ หากเหลือ ใช้ทำกับข้าวได้
หางกะทิ ใส่หม้อ นำตั้งไฟอ่อน เคี่ยวอย่าให้แตกมัน
เสร็จแล้ว ช้อนหน้ากะทิขึ้น ใช้ทำกับข้าวได้







การเก็บน้ำกะทิที่เหลือ ตักใส่ขวด เก็บในตู้เย็น
หัวกะทิ ช้อนด้านบนให้หมด ใส่ขวดเก็บในตู้เย็น

เวลาเคี่ยวหัวกะทิ ส่วนมาก จะมีน้ำที่เป็นหางกะทิอยู่ด้านล่าง
ใช้น้ำหางกะทิที่เหลือ เทใส่กระมัง(น้ำกะทิ)
ใช้หางกะทิกวาดร่องรอยน้ำกะทิที่มีติดๆอยู่ กวาดให้เกลี้ยง

ใส่ลอดช่องที่เหลือ ใส่น้ำกะทิ แฟนถามว่า ไม่ใช้ชามเหรอ
บอกแฟนว่า ใช้กระมังนี่แหละ ลอดช่องเหลือเยอะ
พอกินเสร็จ แน่นไปหมด แค่แปบเดียว อาการแน่น ก็หายละ

ที่ต้องกินลอดช่องให้หมดในวันนี้ เพราะลอดช่องซื้อมาแล้ว ควรใช้วันต่อวัน
หากเก็บค้างคืนไปอีกวัน ตัวแป้งลอดช่องจะแข็ง กินไม่อร่อย




 


  • พลังน้ำใจ: 4019
ตอบกลับ #7 28 พฤษภาคม 2016, 15:05:06น.
น้ำดื่มเพื่อสุขภาพ







ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ลองทำน้ำมะตูมเลี้ยงญาติพี่น้องแฟน ในวันรดน้ำดำหัว

ใส่น้ำแข็งในน้ำมะตูมแล้วตักแจก

ปรากกว่า น้ำมะตูมที่ต้มไว้ มีรสชาติจืด เพราะน้ำแข็งละลายผสมในน้ำมะตูม

ยายของแฟนชอบมาก ยายบอกว่า ปีหน้าทำอีกนะ

ลองค้นหาในเนต เจอสูตรทำน้ำมะตูม

เห็นเข้าท่าดี จึงนำมาฝาก

  • พลังน้ำใจ: 0
ตอบกลับ #8 24 กันยายน 2017, 11:14:28น.
 p+1|

 

เว็บไซต์ในเครือข่ายอภิโชค : apichokeonlin.com | apichoke.net | apichoke.biz | apichoke.me | apichoke.org | apichoke.info
"ศาสตร์ของการคำนวณหวย สถิติหวยความน่าจะเป็น บนเว็บนี้ เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน-นักคำนวณ และบุคคลทั่วไปตลอดจนเลขจากไสยศาสตร์ต่างๆ การที่ใครจะถูกสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือถูกหวย รวยด้วยหวย ก็เป็นเพียงแต่ การเสี่ยงโชค เสี่ยงดวง เท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ และไม่ควรงมงาย หากต้องการเสี่ยงโชค ซื้อหวย เล่นหวย ก็ขอให้ เสี่ยงโชคแต่พอเพียงตามกำลังของตนเอง อย่าซื้อเกินกำลังอาจทำให้เดือนร้อนได้"
คำเตือน : อย่าหลงเชื่อหากมีผู้อ้างตนเป็นอาจารย์ดังสามารถให้หวยถูก100%หรือให้ถูกทุกงวดแน่นอน หรืออวดอ้างว่ารู้จักกับเจ้าหน้าที่กองสลาก แล้วเรียกเก็บเงินจากท่าน
ข้อมูลในเว็บนี้ใช้ประกอบเสี่ยงโชคสำหรับซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลเท่านั้น ไม่สนับสนุนหวยที่ผิดกฏหมาย