น้ำมันมะกอก (OLIVE OIL)
มะกอก (Olive) เป็นพืชในวงศ์ Oleaceae ต่างวงศ์กับมะกอกฝรั่งที่กินเป็นผลไม้ในบ้านเรา
มะกอกจัดเป็นไม้ผลเศรษฐกิจของประเทศในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เช่น กรีซ อิตาลี ฝรั่งเศษ สเปน อิสราเอล
ผลมะกอกมีรูปทรงค่อนข้างกลม รสฝาดและขม ไม่กินเป็นผลสด นิยมนำมาทำมะกอกดองเพื่อใช้ประกอบอาหาร หรือแปรรูปเป็นน้ำมันมะกอก
ซึ่งเป็นน้ำมันพืชที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน เนื่องด้วยประโยชน์และสรรพคุณที่มีอยู่เปี่ยมล้น
สภาน้ำมันมะกอกนานาชาติ (International Olive Council : IOC)
ได้แบ่งชนิดของน้ำมันมะกอกตามคุณภาพ จากปริมาณกรดในน้ำมัน ดังนี้
ชนิดบริสุทธิ์ (Virgin or Pure olive oil) ความเป็นกรดไม่เกินร้อยละ 4
ชนิดบริสุทธิ์ดี (Fine olive oil) ความเป็นกรดร้อยละ 1.5-3
ชนิดบริสุทธิ์ดีมาก (Superfine virgin olive oil) ความเป็นกรดต่ำไม่เกินร้อยละ 1.5
และชนิดคุณภาพดีที่สุด คือชนิดบริสุทธิ์พิเศษ (Extra virgin olive oil) ความเป็นกรดต่ำกว่าร้อยละ 1
น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ ได้จากการสกัดน้ำมันจากผลมะกอกโดยไม่ใช้ความร้อน ไม่ใช้สารเคมี ลักษณะเป็นน้ำมันใสสีเขียวเรื่อ ๆ
มีรสชาติและกลิ่นของมะกอกเข้มข้น รสชาติและกลิ่นเฉพาะตัวของมะกอกนี้เกิดจาก สารไฮดรอกซีไทโรซอล (Hydroxytyrosol)
ซึ่งเป็นสารกลุ่มฟีโนลิก ที่ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ โดยมีผลการวิจัยพบว่าสามารถลดความดันโลหิต ป้องกันโรคหัวใจและยับยั้งมะเร็งเต้านมได้
เหตุที่น้ำมันมะกอกเป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพ เพราะมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวซึ่งมีกรดโอเลอิก (Oleic acid) เป็นหลักอยู่ถึงกว่าร้อยละ 70
กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวมีคุณสมบัติในการลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL)
การบริโภคน้ำมันมะกอกในปริมาณสูง จะทำให้มีความต้านทานต่อโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้ดี จึงมีผลในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
แม้แต่สมาคมเบาหวานแห่งสหรัฐอเมริกาก็แนะนำให้ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 กินน้ำมันมะกอกให้มากขึ้น
ในน้ำมันมะกอกยังมีอัลฟาโตโคฟีรอล (Alpha-tocopheral) ซึ่งอยู่ในรูปของวิตามินอี แคโรทีนในรูปของโปรวิตามินเอ
และสารประกอบกลุ่มโพลีฟีนอล จึงมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ
น้ำมันมะกอกมีคุณสมบัติในการย่อยอาหารและเป็นยาระบายอ่อน ๆ
กินน้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ ในตอนเช้าขณะกระเพาะว่าง เป็นผลดีมากสำหรับผู้ที่ท้องผูกเรื้อรัง
น้ำมันมะกอกช่วยในการดูดซึมสารอาหาร โดยเมื่อร่างกายได้รับน้ำมันมะกอกเพิ่มขึ้น
การดูดซึมแร่ธาตุเข้าสู่เนื้อกระดูกก็จะมากขึ้นด้วย
ร่างกายของคนในวัยกำลังเจริญเติบโตและวัยผู้ใหญ่จึงจำเป็นต้องได้รับน้ำมันมะกอก
เพื่อลดการสูญเสียแคลเซียมของร่างกาย น้ำมันมะกอกยังกระตุ้นการไหลเวียนของน้ำดี จึงช่วยป้องกันการก่อตัวของนิ่วในถุงน้ำดีได้ด้วย
น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ เหมาะสำหรับปรุงน้ำสลัดหรือเป็นเครื่องปรุงรส มากกว่าจะนำมาใช้ทอดหรือผัด
เพราะความร้อนจะทำให้น้ำมันเสียรสได้
โดยเฉพาะผู้ที่ลองใช้น้ำมันมะกอกใหม่ ๆ อาจจะยังไม่ชินกับกลิ่นฉุนแรงของน้ำมันมะกอกเกรดสูง ดังนั้น
ให้เลือกใช้น้ำมันมะกอกชนิดเกรดรองลงมาปรุงอาหารพวกทอดหรือผัด เพราะนอกจากกลิ่นจะอ่อนลงแล้ว ราคายังถูกกว่าด้วย
ส่วนวิธีการเก็บรักษาน้ำมันมะกอกให้คงกลิ่นและสรรพคุณไว้นานที่สุด ควรเก็บในภาชนะกันอากาศ แล้วนำไปไว้ในตู้เย็น หรือสถานที่มืดและอุณหภูมิต่ำ
การเลือกน้ำมันมะกอกในการล้างพิษตับและถุงน้ำดีนั้น ดูได้ที่ฉลากข้างขวด มีคำว่า Extra Virgin Olive Oil สกัดแบบ cold pressed
คือ น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ หีบเย็น แต่ละประเทศที่ผลิตน้ำมันมะกอกจะมีลักษณะเด่นเป็นของตัวเอง เช่น
a) Greece จะมีความข้นกว่า (Heavy Texture)
b) Spain จะมีกลิ่นและรสชาติที่แรงกว่าประเทศอื่น
c) ฝรั่งเศส (Provencal) จะมีกลิ่นหอมหวาน (Fruity)
d) Italy จะคล้ายกับ Spain จะมีกลิ่นที่เด่นกว่าเหมือนกัน
มะกอกพันธุ์ดีที่สุด คือ Green Provencal หรือ Tuscan Olives
น้ำมันมะกอก Extra Virgin Olive Oil(cold pressed)
ช่วยการหมุนเวียนของโลหิต
น้ำมันมะกอก ช่วยป้องกันภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (arteriosclerosis) รวมทั้งภาวะอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง หัวใจล้มเหลว หัวใจวาย ไตวาย และเส้นเลือดในสมองแตก
ระบบย่อยอาหาร
น้ำมันมะกอก ช่วยให้ระบบการทำงานของส่วนต่างๆ ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกระเพาะอาหาร ตับอ่อน ลำไส้ และถุงน้ำดี ทั้งนี้ยังช่วยป้องกันการก่อตัวของนิ่วอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลบ่งชี้ว่าน้ำมันมะกอกช่วย บรรเทาอาการกระเพาะอักเสบ แผลในกระเพาะ และยังเป็นยาระบายอ่อนๆ
ผลต่อผิวหนัง
น้ำมันมะกอก ช่วยปกป้องหนังกำพร้า ช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น ซึ่งเกิดจากวิตามินอี และ สารต้านอนุมูลอิสระในน้ำมันมะกอกนั่นเอง
นอกจากนี้ยังใช้ได้ผลดีในการป้องกันโรคผิวหนังและลดริ้วรอยเหี่ยวย่น
ระบบต่อมไร้ท่อ
น้ำมันมะกอก ช่วยให้ระบบการเผาผลาญอาหาร (metabolic function) ภายในร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
น้ำมันมะกอกได้กลายเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ในการป้องกันและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานจาก
การศึกษาล่าสุดพบว่าระดับกลูโคสของผู้ที่มีสุขภาพดีจะลดลง12% เมื่อรับประทานน้ำมันมะกอก
ผลต่อกระดูก
น้ำมันมะกอก ช่วยในการเสริมสร้างกระดูก และช่วยให้ร่างกายของคนเรามีประสิทธิภาพในการดูดซึมแร่ธาตุ
และแคลเซี่ยมได้ดี และสามารถป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ด้วย
ลดภาวะเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง
น้ำมันมะกอก ช่วยป้องกันเนื้องอกที่เกิดกับอวัยวะบางส่วน (เต้านม ต่อมลูกหมาก ลำไส้ใหญ่ ปีกมดลูก)
ทั้งนี้เพราะกรดไขมันที่มีอยู่ในน้ำมันมะกอกนั้นช่วยยับยั้งอนุมูลอิสระ และช่วยต่อต้านการก่อตัวของติ่งเนื้อในอวัยวะต่างๆ ที่กล่าวมา
เหมาะใส่ในอาหารเด็กอ่อน
ด้วยสารประกอบในน้ำมันมะกอกและคุณสมบัติในการช่วยย่อยอาหาร จึงนับได้ว่าน้ำมันมะกอกเป็น ไขมันธรรมชาติที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำนมมารดามากที่สุด
ป้องกันความชราภาพ
การที่เรารู้จักหาวิธีการเพื่อต่อต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย ของเรา เพื่อป้องกันภาวะ ความเสื่อมถอยของสุขภาพอันเนื่องมาจากอายุที่เพิ่มขึ้นนั้นนับว่าเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
จากการค้นคว้าวิจัยเราได้ทราบว่าน้ำมันมะกอกมีคุณสมบัติในการต่อต้านภาวะความเสื่อมถอยของสมองและยังช่วยยืดอายุของเราให้ยืนยาวขึ้นอีกด้วย
ลดภาวะโรคหลอดเลือดหัวใจ
จากการค้นคว้าวิจัยพบว่า น้ำมันมะกอกนั้นสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL)
ในขณะเดียวกันจะไม่ทำให้คอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ลดระดับลง
หัวใจล้มเหลว
ปัจจุบัน เชื่อกันว่าการอักเสบ มีอิทธิพลต่อโรคหลอดเลือดต่างๆ โรคมะเร็งบางชนิด และโรคหลงลืมในคนสูงวัย
ซึ่งอาจช่วยอธิบายได้ว่า เหตุใดอาหารที่ปรุงด้วยน้ำมันมะกอกจึงช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง หัวใจล้มเหลว หัวใจวาย ไตวาย และเส้นเลือดในสมองแตก
น้ำมันมะกอก แบ่งออกมา 5 ชนิด
1.น้ำมันมะกอกชนิด เอ็กซ์ตร้า เวอร์จิ้น
1. น้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้า เวอร็จิ้น (Extra Vigin Olive Oil)
มีสีเขียวเข้ม รสชาติเหมือนผลมะกอก เหมาะสำหรับการทำซอสพาสต้า และน้ำสลัด หรือใช้ปรุงอาหารที่ไม่ผ่านความร้อน จัดเป็นน้ำมันมะกอกที่ดีที่สุด
ซึ่งมีสารสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพสูงกว่าน้ำมันมะกอกชนิดอื่น ผลิตโดยไม่ผ่านกระบวนการทางเคมีหรือความร้อน ใช้วิธีการบีบเอาน้ำมันจากผลมะกอกสด (cold pressing process)
มีรสชาติเข้มข้น เต็มรส และให้กลิ่นหอมของมะกอก
น้ำมันมะกอกชนิดนี้ให้รสชาติของความเป็นเมดิเตอร์เรเนียนกับเมนูของคุณโดยไม่กลบรสชาติของส่วนผสมอื่น
เหมาะสำหรับจิ้มขนมปัง, เหมาะกับการทำพาสต้าซอส, และทำน้ำสลัด
น้ำมันมะกอก แบบบริสุทธิ์บีบเย็น (Cold Press) หรือที่เรียกว่า Pure Extra Virgin Olive Oil
เป็นน้ำมันมะกอกบริสุทธ์ที่มีคุณค่าดีที่สุด สกัดโดยไม่ผ่านกระบวนการเคมีแต่อย่างใด เพียงแค่ใช้วีธีบีบเย็น มีสีเขียวหรือสีเหลืองทอง ให้กลิ่นและรสแรง ถือว่ามีคุณสมบัติดีที่สุดเหมาะสำหรับการดื่มเพื่อล่อให้น้ำดีออกมา
น้ำมันมะกอก มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวหนึ่งตำแหน่งเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเป็นกรด โอเลอิค ถึงร้อยละ 71
เป็นกรดไขมันอิ่มตัวประมาณร้อยละ 16 และเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งร้อยละ 11
น้ำมันมะกอกเป็นน้ำมันชนิดที่ทนทานต่อกระเพาะได้มากที่สุด เนื่องจากมีกรดโอเลอิคอยู่ในปริมาณสูง
จึงมีผลในการช่วยป้องกันโรคกระเพาะอาหารอักเสบและอาการอักเสบที่กระเพาะและลำไส้ตอนต้น ช่วยลดแผลในกระเพาะและลำไส้ได้
น้ำมันมะกอกยังมีประโยชน์ต่อระบบน้ำดี และยังเป็นยาระบายอ่อนๆอีกด้วย
น้ำมันมะกอก ช่วยภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว (arteriosclerosis) ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง หัวใจล้มเหลว หัวใจวาย ไตวาย เส้นเลือดในสมองแตก
และยังสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) ในขณะเดียวกันจะไม่ทำให้คอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ลดระดับลง
ช่วยการดูดซึมแร่ธาตและแคลเซียมได้ดีทำให้ป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ และยังช่วยป้องกันเนื้องอกที่เกิดกับอวัยวะบางส่วน (เต้านม ต่อมลูกหมาก ลำไส้ใหญ่ ปีกมดลูก)
เพราะกรดไขมันที่มีอยู่ในน้ำมันมะกอกนี้ช่วยยับยั้งอนุมูลอิสระ และหากนำมาทาที่ผิวหนังวิตามินอีในนั้นมะกอกก็จะช่วยทำให้ผิวหนังก็จะทำให้มีความยืดหยุ่นลดริ้วรอยเหี่ยวย่น
อีกทั้งยังช่วยให้ระบบการเผาผลาญอาหารภายในร่างกายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย ส่งผลทำให้น้ำตาลในเลือดลดลง
น้ำมันมะกอกถึงแม้จะมีแคลอรี่สูง แต่มีข้อดี คือ มีกรดไขมันชนิดที่เป็นประโยชน์กับร่างกายสูง ทำให้ไม่เกิดไขมันสะสมในร่างกาย
และน้ำมันมะกอกยังช่วยให้คนที่มีอาการนอนกรนลดเสียงกรนให้เบาลงได้ ด้วยการกินน้ำมันมะกอกสำหรับทำอาหาร ซึ่งควรเลือกแบบ EXTRA VIRGIN OLIVE OIL
เพราะ เป็นแบบบริสุทธิ์ มีสีเขียวเข้มใส และนิยมนำมาใช้ในการทำสลัด
กินสัก 4-5 หยดก่อนนอน ทำอย่างต่อเนื่อง และทำควบคู่ไปกับวิธีดูแลสุขภาพอื่นๆ ร่วมด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในระดับมาตรฐาน จะช่วยแก้ปัญหานอนกรน ให้หมดไปได้
2. น้ำมันมะกอกเวอร์จิน หรือ (Virgin Olive Oil)
เหมาะสำหรับการทำพาสต้าซอส, และทำน้ำสลัด ผลิตโดยไม่ผ่านกระบวนการทางเคมีหรือความร้อน ใช้วิธีการบีบเอาน้ำมันจากผลมะกอกสด (cold pressing process)
แต่จะใช้ผลมะกอกที่แก่กว่าน้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้า เวอร็จิ้น มีคุณภาพรองลงมาจากน้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้า เวอร์จิ้น (Extra Vigin Olive Oil) และมีราคาถูกกว่า
3. น้ำมันมะกอกที่มีการผสม (Olive Oil, Pure Olive Oil)
เหมาะสำหรับการใช้ผัดหรือทอดในระยะเวลาสั้นๆ เช่น ทอดไข่เจียว หรือ ผัดผัก เป็นต้น
มีการผสมกันระหว่างน้ำมันมะกอกชนิด Extra Vigin Olive Oil กับน้ำมันมะกอกที่ผ่านกรรมวิธีเพื่อเพิ่มประโยชน์มากขึ้นและราคาไม่แพงจนเกินไป
น้ำมันมะกอกชั้นดี อย่าง Extra Virgin ที่เป็นการบีบน้ำมันจากผลมะกอกโดยตรง โดยไม่ผ่านกระบวนการใดๆ จึงเหมาะสำหรับนำมารับประทานโดยตรง
โดยราดบนอาหารหรือ ผสมในน้ำมันสลัด และไม่นิยมนำมาผัดหรือทอด
เนื่องจากโครงสร้างทางโมเลกุลของน้ำมันมะกอก Extra Virgin จะมีโครงสร้างที่บอบบางมาก และกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวในน้ำมันจะช่วยเพิ่มไขมันในเส้นเลือด (HDL)
ซึ่งการนำไปผัดหรือทอดด้วยความร้อนสูง จะทำลายโครงสร้างโมเลกุล และอาจเป็นอันตรายได้ เนื่องจากการแตกตัวของอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็ง
ถ้าหากคิดจะใช้น้ำมันมะกอกเพื่อผัดหรือทอดอาหารล่ะก็ ให้ใช้น้ำมันเกรดรองลงมา อย่าง Refined Olive หรือ Pure ซึ่งเป็นน้ำมันที่ผ่านกระบวนการกลั่นกรอง
น้ำมันมะกอกชนิด คลาสสิโค
นำไปใช้ได้หลากหลายรูปแบบ เหมาะอย่างยิ่งกับการประกอบอาหารเพื่อสุขภาพ
น้ำมันมะกอกชนิดนี้จะยังคงความเสถียรแม้ในอุณหภูมิที่สูง จึงทำให้เหมาะสำหรับการทอด, การอบ,
และยังเหมาะกับการประกอบอาหารที่ใช้ผักเป็นส่วนประกอบหลักอีกด้วย
4. น้ำมันมะกอกผ่านกรรมวิธี (Refined Olive Oil, Light Olive Oil, Extra Light Olive Oil)
เหมาะสำหรับการทอดนานๆ เช่น ทอดปลา ทอดน่องไก่ เป็นต้น เป็นน้ำมันมะกอกที่ใช้กระบวนการทางเคมี
ผ่านการใช้ความรร้อน มีการสกัดกลิ่น สี รส ออกไป ทำให้สูญเสียสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเป็นจำนวนมาก มีสีอ่อนกว่าชนิดอื่น และราคาค่อนข้างถูก
เหมาะที่จะนำไปใช้แทนน้ำมันพืชทั่วไปได้เป็นอย่างดี เหมาะทั้งการอบ, การทอด,
รวมถึงการประกอบอาหารที่ใช้ความร้อนสูง และการผัด
โดยเฉพาะผู้ที่ลองใช้น้ำมันมะกอกใหม่ ๆ อาจจะยังไม่ชินกับกลิ่นฉุนแรงของน้ำมันมะกอกเกรดสูง
ดังนั้น ให้เลือกใช้น้ำมันมะกอกชนิดเกรดรองลงมาปรุงอาหารพวกทอดหรือผัด เพราะนอกจากกลิ่นจะอ่อนลงแล้ว ราคายังถูกกว่าด้วย
5. น้ำมันกากมะกอก (Olive Pomace Oil)
เหมาะสำหรับการนำมาทอดอาหารที่ใช้ความร้อนสูง ผลิตโดยการสกัดน้ำมันจากกากมะกอก
ผ่านกระบวนการทางเคมีและความร้อน เป็นน้ำมันมะกอกที่มีคุณภาพต่ำที่สุด แต่ก็ถือเป็นน้ำมันที่ใช้ในการประกอบอาหารได้อยู่
ส่วนวิธีการเก็บรักษาน้ำมันมะกอกให้คงกลิ่นและสรรพคุณไว้นานที่สุด
ควรเก็บในภาชนะกันอากาศ แล้วนำไปไว้ในตู้เย็น หรือสถานที่มืดและอุณหภูมิต่ำ

ที่บ้านใช้ยี่ห้อ SABROSO ไว้สำหรับทำอาหารประเภทผัด
หากทอด จะใช้เฉพาะ ไข่ดาว ไข่เจียว ใช้ประมาณ 1 ช้อนชา ใช้กระทะเทปล่อนขนาดเล็ก ชนิดเคลือบ 5 ชั้น
มะกอก (Olive) เป็นพืชในวงศ์ Oleaceae ต่างวงศ์กับมะกอกฝรั่งที่กินเป็นผลไม้ในบ้านเรา
มะกอกจัดเป็นไม้ผลเศรษฐกิจของประเทศในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เช่น กรีซ อิตาลี ฝรั่งเศษ สเปน อิสราเอล
ผลมะกอกมีรูปทรงค่อนข้างกลม รสฝาดและขม ไม่กินเป็นผลสด นิยมนำมาทำมะกอกดองเพื่อใช้ประกอบอาหาร หรือแปรรูปเป็นน้ำมันมะกอก
ซึ่งเป็นน้ำมันพืชที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน เนื่องด้วยประโยชน์และสรรพคุณที่มีอยู่เปี่ยมล้น
สภาน้ำมันมะกอกนานาชาติ (International Olive Council : IOC)
ได้แบ่งชนิดของน้ำมันมะกอกตามคุณภาพ จากปริมาณกรดในน้ำมัน ดังนี้
ชนิดบริสุทธิ์ (Virgin or Pure olive oil) ความเป็นกรดไม่เกินร้อยละ 4
ชนิดบริสุทธิ์ดี (Fine olive oil) ความเป็นกรดร้อยละ 1.5-3
ชนิดบริสุทธิ์ดีมาก (Superfine virgin olive oil) ความเป็นกรดต่ำไม่เกินร้อยละ 1.5
และชนิดคุณภาพดีที่สุด คือชนิดบริสุทธิ์พิเศษ (Extra virgin olive oil) ความเป็นกรดต่ำกว่าร้อยละ 1
น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ ได้จากการสกัดน้ำมันจากผลมะกอกโดยไม่ใช้ความร้อน ไม่ใช้สารเคมี ลักษณะเป็นน้ำมันใสสีเขียวเรื่อ ๆ
มีรสชาติและกลิ่นของมะกอกเข้มข้น รสชาติและกลิ่นเฉพาะตัวของมะกอกนี้เกิดจาก สารไฮดรอกซีไทโรซอล (Hydroxytyrosol)
ซึ่งเป็นสารกลุ่มฟีโนลิก ที่ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ โดยมีผลการวิจัยพบว่าสามารถลดความดันโลหิต ป้องกันโรคหัวใจและยับยั้งมะเร็งเต้านมได้
เหตุที่น้ำมันมะกอกเป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพ เพราะมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวซึ่งมีกรดโอเลอิก (Oleic acid) เป็นหลักอยู่ถึงกว่าร้อยละ 70
กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวมีคุณสมบัติในการลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL)
การบริโภคน้ำมันมะกอกในปริมาณสูง จะทำให้มีความต้านทานต่อโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้ดี จึงมีผลในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
แม้แต่สมาคมเบาหวานแห่งสหรัฐอเมริกาก็แนะนำให้ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 กินน้ำมันมะกอกให้มากขึ้น
ในน้ำมันมะกอกยังมีอัลฟาโตโคฟีรอล (Alpha-tocopheral) ซึ่งอยู่ในรูปของวิตามินอี แคโรทีนในรูปของโปรวิตามินเอ
และสารประกอบกลุ่มโพลีฟีนอล จึงมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ
น้ำมันมะกอกมีคุณสมบัติในการย่อยอาหารและเป็นยาระบายอ่อน ๆ
กินน้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ ในตอนเช้าขณะกระเพาะว่าง เป็นผลดีมากสำหรับผู้ที่ท้องผูกเรื้อรัง
น้ำมันมะกอกช่วยในการดูดซึมสารอาหาร โดยเมื่อร่างกายได้รับน้ำมันมะกอกเพิ่มขึ้น
การดูดซึมแร่ธาตุเข้าสู่เนื้อกระดูกก็จะมากขึ้นด้วย
ร่างกายของคนในวัยกำลังเจริญเติบโตและวัยผู้ใหญ่จึงจำเป็นต้องได้รับน้ำมันมะกอก
เพื่อลดการสูญเสียแคลเซียมของร่างกาย น้ำมันมะกอกยังกระตุ้นการไหลเวียนของน้ำดี จึงช่วยป้องกันการก่อตัวของนิ่วในถุงน้ำดีได้ด้วย
น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ เหมาะสำหรับปรุงน้ำสลัดหรือเป็นเครื่องปรุงรส มากกว่าจะนำมาใช้ทอดหรือผัด
เพราะความร้อนจะทำให้น้ำมันเสียรสได้
โดยเฉพาะผู้ที่ลองใช้น้ำมันมะกอกใหม่ ๆ อาจจะยังไม่ชินกับกลิ่นฉุนแรงของน้ำมันมะกอกเกรดสูง ดังนั้น
ให้เลือกใช้น้ำมันมะกอกชนิดเกรดรองลงมาปรุงอาหารพวกทอดหรือผัด เพราะนอกจากกลิ่นจะอ่อนลงแล้ว ราคายังถูกกว่าด้วย
ส่วนวิธีการเก็บรักษาน้ำมันมะกอกให้คงกลิ่นและสรรพคุณไว้นานที่สุด ควรเก็บในภาชนะกันอากาศ แล้วนำไปไว้ในตู้เย็น หรือสถานที่มืดและอุณหภูมิต่ำ
การเลือกน้ำมันมะกอกในการล้างพิษตับและถุงน้ำดีนั้น ดูได้ที่ฉลากข้างขวด มีคำว่า Extra Virgin Olive Oil สกัดแบบ cold pressed
คือ น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ หีบเย็น แต่ละประเทศที่ผลิตน้ำมันมะกอกจะมีลักษณะเด่นเป็นของตัวเอง เช่น
a) Greece จะมีความข้นกว่า (Heavy Texture)
b) Spain จะมีกลิ่นและรสชาติที่แรงกว่าประเทศอื่น
c) ฝรั่งเศส (Provencal) จะมีกลิ่นหอมหวาน (Fruity)
d) Italy จะคล้ายกับ Spain จะมีกลิ่นที่เด่นกว่าเหมือนกัน
มะกอกพันธุ์ดีที่สุด คือ Green Provencal หรือ Tuscan Olives
น้ำมันมะกอก Extra Virgin Olive Oil(cold pressed)
ช่วยการหมุนเวียนของโลหิต
น้ำมันมะกอก ช่วยป้องกันภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (arteriosclerosis) รวมทั้งภาวะอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง หัวใจล้มเหลว หัวใจวาย ไตวาย และเส้นเลือดในสมองแตก
ระบบย่อยอาหาร
น้ำมันมะกอก ช่วยให้ระบบการทำงานของส่วนต่างๆ ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกระเพาะอาหาร ตับอ่อน ลำไส้ และถุงน้ำดี ทั้งนี้ยังช่วยป้องกันการก่อตัวของนิ่วอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลบ่งชี้ว่าน้ำมันมะกอกช่วย บรรเทาอาการกระเพาะอักเสบ แผลในกระเพาะ และยังเป็นยาระบายอ่อนๆ
ผลต่อผิวหนัง
น้ำมันมะกอก ช่วยปกป้องหนังกำพร้า ช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น ซึ่งเกิดจากวิตามินอี และ สารต้านอนุมูลอิสระในน้ำมันมะกอกนั่นเอง
นอกจากนี้ยังใช้ได้ผลดีในการป้องกันโรคผิวหนังและลดริ้วรอยเหี่ยวย่น
ระบบต่อมไร้ท่อ
น้ำมันมะกอก ช่วยให้ระบบการเผาผลาญอาหาร (metabolic function) ภายในร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
น้ำมันมะกอกได้กลายเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ในการป้องกันและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานจาก
การศึกษาล่าสุดพบว่าระดับกลูโคสของผู้ที่มีสุขภาพดีจะลดลง12% เมื่อรับประทานน้ำมันมะกอก
ผลต่อกระดูก
น้ำมันมะกอก ช่วยในการเสริมสร้างกระดูก และช่วยให้ร่างกายของคนเรามีประสิทธิภาพในการดูดซึมแร่ธาตุ
และแคลเซี่ยมได้ดี และสามารถป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ด้วย
ลดภาวะเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง
น้ำมันมะกอก ช่วยป้องกันเนื้องอกที่เกิดกับอวัยวะบางส่วน (เต้านม ต่อมลูกหมาก ลำไส้ใหญ่ ปีกมดลูก)
ทั้งนี้เพราะกรดไขมันที่มีอยู่ในน้ำมันมะกอกนั้นช่วยยับยั้งอนุมูลอิสระ และช่วยต่อต้านการก่อตัวของติ่งเนื้อในอวัยวะต่างๆ ที่กล่าวมา
เหมาะใส่ในอาหารเด็กอ่อน
ด้วยสารประกอบในน้ำมันมะกอกและคุณสมบัติในการช่วยย่อยอาหาร จึงนับได้ว่าน้ำมันมะกอกเป็น ไขมันธรรมชาติที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำนมมารดามากที่สุด
ป้องกันความชราภาพ
การที่เรารู้จักหาวิธีการเพื่อต่อต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย ของเรา เพื่อป้องกันภาวะ ความเสื่อมถอยของสุขภาพอันเนื่องมาจากอายุที่เพิ่มขึ้นนั้นนับว่าเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
จากการค้นคว้าวิจัยเราได้ทราบว่าน้ำมันมะกอกมีคุณสมบัติในการต่อต้านภาวะความเสื่อมถอยของสมองและยังช่วยยืดอายุของเราให้ยืนยาวขึ้นอีกด้วย
ลดภาวะโรคหลอดเลือดหัวใจ
จากการค้นคว้าวิจัยพบว่า น้ำมันมะกอกนั้นสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL)
ในขณะเดียวกันจะไม่ทำให้คอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ลดระดับลง
หัวใจล้มเหลว
ปัจจุบัน เชื่อกันว่าการอักเสบ มีอิทธิพลต่อโรคหลอดเลือดต่างๆ โรคมะเร็งบางชนิด และโรคหลงลืมในคนสูงวัย
ซึ่งอาจช่วยอธิบายได้ว่า เหตุใดอาหารที่ปรุงด้วยน้ำมันมะกอกจึงช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง หัวใจล้มเหลว หัวใจวาย ไตวาย และเส้นเลือดในสมองแตก
น้ำมันมะกอก แบ่งออกมา 5 ชนิด
1.น้ำมันมะกอกชนิด เอ็กซ์ตร้า เวอร์จิ้น
1. น้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้า เวอร็จิ้น (Extra Vigin Olive Oil)
มีสีเขียวเข้ม รสชาติเหมือนผลมะกอก เหมาะสำหรับการทำซอสพาสต้า และน้ำสลัด หรือใช้ปรุงอาหารที่ไม่ผ่านความร้อน จัดเป็นน้ำมันมะกอกที่ดีที่สุด
ซึ่งมีสารสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพสูงกว่าน้ำมันมะกอกชนิดอื่น ผลิตโดยไม่ผ่านกระบวนการทางเคมีหรือความร้อน ใช้วิธีการบีบเอาน้ำมันจากผลมะกอกสด (cold pressing process)
มีรสชาติเข้มข้น เต็มรส และให้กลิ่นหอมของมะกอก
น้ำมันมะกอกชนิดนี้ให้รสชาติของความเป็นเมดิเตอร์เรเนียนกับเมนูของคุณโดยไม่กลบรสชาติของส่วนผสมอื่น
เหมาะสำหรับจิ้มขนมปัง, เหมาะกับการทำพาสต้าซอส, และทำน้ำสลัด
น้ำมันมะกอก แบบบริสุทธิ์บีบเย็น (Cold Press) หรือที่เรียกว่า Pure Extra Virgin Olive Oil
เป็นน้ำมันมะกอกบริสุทธ์ที่มีคุณค่าดีที่สุด สกัดโดยไม่ผ่านกระบวนการเคมีแต่อย่างใด เพียงแค่ใช้วีธีบีบเย็น มีสีเขียวหรือสีเหลืองทอง ให้กลิ่นและรสแรง ถือว่ามีคุณสมบัติดีที่สุดเหมาะสำหรับการดื่มเพื่อล่อให้น้ำดีออกมา
น้ำมันมะกอก มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวหนึ่งตำแหน่งเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเป็นกรด โอเลอิค ถึงร้อยละ 71
เป็นกรดไขมันอิ่มตัวประมาณร้อยละ 16 และเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งร้อยละ 11
น้ำมันมะกอกเป็นน้ำมันชนิดที่ทนทานต่อกระเพาะได้มากที่สุด เนื่องจากมีกรดโอเลอิคอยู่ในปริมาณสูง
จึงมีผลในการช่วยป้องกันโรคกระเพาะอาหารอักเสบและอาการอักเสบที่กระเพาะและลำไส้ตอนต้น ช่วยลดแผลในกระเพาะและลำไส้ได้
น้ำมันมะกอกยังมีประโยชน์ต่อระบบน้ำดี และยังเป็นยาระบายอ่อนๆอีกด้วย
น้ำมันมะกอก ช่วยภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว (arteriosclerosis) ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง หัวใจล้มเหลว หัวใจวาย ไตวาย เส้นเลือดในสมองแตก
และยังสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) ในขณะเดียวกันจะไม่ทำให้คอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ลดระดับลง
ช่วยการดูดซึมแร่ธาตและแคลเซียมได้ดีทำให้ป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ และยังช่วยป้องกันเนื้องอกที่เกิดกับอวัยวะบางส่วน (เต้านม ต่อมลูกหมาก ลำไส้ใหญ่ ปีกมดลูก)
เพราะกรดไขมันที่มีอยู่ในน้ำมันมะกอกนี้ช่วยยับยั้งอนุมูลอิสระ และหากนำมาทาที่ผิวหนังวิตามินอีในนั้นมะกอกก็จะช่วยทำให้ผิวหนังก็จะทำให้มีความยืดหยุ่นลดริ้วรอยเหี่ยวย่น
อีกทั้งยังช่วยให้ระบบการเผาผลาญอาหารภายในร่างกายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย ส่งผลทำให้น้ำตาลในเลือดลดลง
น้ำมันมะกอกถึงแม้จะมีแคลอรี่สูง แต่มีข้อดี คือ มีกรดไขมันชนิดที่เป็นประโยชน์กับร่างกายสูง ทำให้ไม่เกิดไขมันสะสมในร่างกาย
และน้ำมันมะกอกยังช่วยให้คนที่มีอาการนอนกรนลดเสียงกรนให้เบาลงได้ ด้วยการกินน้ำมันมะกอกสำหรับทำอาหาร ซึ่งควรเลือกแบบ EXTRA VIRGIN OLIVE OIL
เพราะ เป็นแบบบริสุทธิ์ มีสีเขียวเข้มใส และนิยมนำมาใช้ในการทำสลัด
กินสัก 4-5 หยดก่อนนอน ทำอย่างต่อเนื่อง และทำควบคู่ไปกับวิธีดูแลสุขภาพอื่นๆ ร่วมด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในระดับมาตรฐาน จะช่วยแก้ปัญหานอนกรน ให้หมดไปได้
2. น้ำมันมะกอกเวอร์จิน หรือ (Virgin Olive Oil)
เหมาะสำหรับการทำพาสต้าซอส, และทำน้ำสลัด ผลิตโดยไม่ผ่านกระบวนการทางเคมีหรือความร้อน ใช้วิธีการบีบเอาน้ำมันจากผลมะกอกสด (cold pressing process)
แต่จะใช้ผลมะกอกที่แก่กว่าน้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้า เวอร็จิ้น มีคุณภาพรองลงมาจากน้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้า เวอร์จิ้น (Extra Vigin Olive Oil) และมีราคาถูกกว่า
3. น้ำมันมะกอกที่มีการผสม (Olive Oil, Pure Olive Oil)
เหมาะสำหรับการใช้ผัดหรือทอดในระยะเวลาสั้นๆ เช่น ทอดไข่เจียว หรือ ผัดผัก เป็นต้น
มีการผสมกันระหว่างน้ำมันมะกอกชนิด Extra Vigin Olive Oil กับน้ำมันมะกอกที่ผ่านกรรมวิธีเพื่อเพิ่มประโยชน์มากขึ้นและราคาไม่แพงจนเกินไป
น้ำมันมะกอกชั้นดี อย่าง Extra Virgin ที่เป็นการบีบน้ำมันจากผลมะกอกโดยตรง โดยไม่ผ่านกระบวนการใดๆ จึงเหมาะสำหรับนำมารับประทานโดยตรง
โดยราดบนอาหารหรือ ผสมในน้ำมันสลัด และไม่นิยมนำมาผัดหรือทอด
เนื่องจากโครงสร้างทางโมเลกุลของน้ำมันมะกอก Extra Virgin จะมีโครงสร้างที่บอบบางมาก และกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวในน้ำมันจะช่วยเพิ่มไขมันในเส้นเลือด (HDL)
ซึ่งการนำไปผัดหรือทอดด้วยความร้อนสูง จะทำลายโครงสร้างโมเลกุล และอาจเป็นอันตรายได้ เนื่องจากการแตกตัวของอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็ง
ถ้าหากคิดจะใช้น้ำมันมะกอกเพื่อผัดหรือทอดอาหารล่ะก็ ให้ใช้น้ำมันเกรดรองลงมา อย่าง Refined Olive หรือ Pure ซึ่งเป็นน้ำมันที่ผ่านกระบวนการกลั่นกรอง
น้ำมันมะกอกชนิด คลาสสิโค
นำไปใช้ได้หลากหลายรูปแบบ เหมาะอย่างยิ่งกับการประกอบอาหารเพื่อสุขภาพ
น้ำมันมะกอกชนิดนี้จะยังคงความเสถียรแม้ในอุณหภูมิที่สูง จึงทำให้เหมาะสำหรับการทอด, การอบ,
และยังเหมาะกับการประกอบอาหารที่ใช้ผักเป็นส่วนประกอบหลักอีกด้วย
4. น้ำมันมะกอกผ่านกรรมวิธี (Refined Olive Oil, Light Olive Oil, Extra Light Olive Oil)
เหมาะสำหรับการทอดนานๆ เช่น ทอดปลา ทอดน่องไก่ เป็นต้น เป็นน้ำมันมะกอกที่ใช้กระบวนการทางเคมี
ผ่านการใช้ความรร้อน มีการสกัดกลิ่น สี รส ออกไป ทำให้สูญเสียสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเป็นจำนวนมาก มีสีอ่อนกว่าชนิดอื่น และราคาค่อนข้างถูก
เหมาะที่จะนำไปใช้แทนน้ำมันพืชทั่วไปได้เป็นอย่างดี เหมาะทั้งการอบ, การทอด,
รวมถึงการประกอบอาหารที่ใช้ความร้อนสูง และการผัด
โดยเฉพาะผู้ที่ลองใช้น้ำมันมะกอกใหม่ ๆ อาจจะยังไม่ชินกับกลิ่นฉุนแรงของน้ำมันมะกอกเกรดสูง
ดังนั้น ให้เลือกใช้น้ำมันมะกอกชนิดเกรดรองลงมาปรุงอาหารพวกทอดหรือผัด เพราะนอกจากกลิ่นจะอ่อนลงแล้ว ราคายังถูกกว่าด้วย
5. น้ำมันกากมะกอก (Olive Pomace Oil)
เหมาะสำหรับการนำมาทอดอาหารที่ใช้ความร้อนสูง ผลิตโดยการสกัดน้ำมันจากกากมะกอก
ผ่านกระบวนการทางเคมีและความร้อน เป็นน้ำมันมะกอกที่มีคุณภาพต่ำที่สุด แต่ก็ถือเป็นน้ำมันที่ใช้ในการประกอบอาหารได้อยู่
ส่วนวิธีการเก็บรักษาน้ำมันมะกอกให้คงกลิ่นและสรรพคุณไว้นานที่สุด
ควรเก็บในภาชนะกันอากาศ แล้วนำไปไว้ในตู้เย็น หรือสถานที่มืดและอุณหภูมิต่ำ

ที่บ้านใช้ยี่ห้อ SABROSO ไว้สำหรับทำอาหารประเภทผัด
หากทอด จะใช้เฉพาะ ไข่ดาว ไข่เจียว ใช้ประมาณ 1 ช้อนชา ใช้กระทะเทปล่อนขนาดเล็ก ชนิดเคลือบ 5 ชั้น