ต่อจากตอนที่แล้ว
นี่ละแดนสวรรค์ แดนนรก ไม่สับปนกัน พวกกรรมชั่วลงนรกทั้งนั้น พวกทำดีไปสวรรค์กัน พอพูดเรื่องนี้ก็ทำให้ระลึกถึงเณรหนึ่ง นี้ได้สัมภาษณ์กันจริงๆ ก็นานมาแล้วแหละ วันถวายเพลิงท่านอาจารย์มั่น วันเผาศพท่านอาจารย์มั่น ก่อนหน้านั้นมีพระมาบอกว่ามีเณรองค์หนึ่งแกระลึกชาติได้ ชื่อว่าอย่างนั้น บอกเลย แกอยู่บ้านนั้นเวลานี้ แล้วพระองค์นั้นเคยคบค้าสมาคมกับเณรนี้มาแล้ว แล้วในงานนี้แกจะมาไหม เราถาม มา เออ ถ้ามาให้บอกเรา เราจะซักถามให้ละเอียดลออ
พอแกมาแล้วให้พระองค์นั้นละไปตามเอามาจนได้ มาซักถาม โห พูดละเอียดลออมาก นี่ละถ้าระลึกชาติได้แล้วไม่หวั่นไหวใครนะ เณรนั้นพูดอย่างอาจหาญชาญชัยเลยทีเดียว แกพูดถึงภพก่อนของแก ตายแล้วก็มาเป็นเณรอยู่นี้ แต่ก่อนแกชื่อบัว อยู่ทางอุบล บอกชื่อเลยว่าอยู่บ้านโคกเลาะโคกและ แกละเอียดหมด แกไปเคารพเลื่อมใสกับอาจารย์ทอง บ้านดงน้อย คนสามผง ไปเทศนาว่าการแกเกิดความเชื่อความเลื่อมใสเลยขอถวายตัวเป็นลูกศิษย์ และขอบวชอยู่กับท่าน แล้วก็มาอยู่ที่สามผง แล้วก็มาเป็นไข้ป่าเลยมาตายอยู่ที่นั่น ออกจากนั้นก็ไปเกิดที่บ้านน้ำก่ำ เรื่องราวเป็นอย่างนั้น เราถามเรื่องราวแก แกเล่าละเอียดลออมากทีเดียวเรื่องภพเรื่องชาติของแกที่เกิดมา
แกบอกชัดเจนว่าเป็นลูกศิษย์อาจารย์ทอง เรามันไม่ใช่เล่น ถ้าอย่างนี้มันซอกแซกมากนะ ติดตามท่านอาจารย์ทองเอาจนได้ ไปกราบเรียนท่าน เพราะสนิทกันมาก่อนแล้วกับอาจารย์ทอง พอเล่าเรื่องเณรให้ฟัง อู๊ย รู้สึกว่าท่านตื่นเต้น ใช่แล้วๆ ท่านก็พูดอีกด้วยถึงเรื่องราวแต่ก่อน ตามที่เณรพูดก็เป็นอันเดียวกัน เวลานี้อยู่ที่ไหน เราบอกว่าอยู่บ้านน้ำก่ำ โอ๊ย สงสาร เณรนี้แต่ก่อนเป็นพระ ชื่อพระบัว เสกคาถาไล่ผีเก่ง อาจารย์ทองเล่าให้ฟังเรื่องพระบัวนี้ ไล่ผีเก่งนะ พวกปอบพวกผีเข้าคนนี้ พระบัวนี้เข้าไปเสกคาถาแล้วไล่แตกกระเจิงเลย ปอบกินคนไม่ได้ กลัวพระบัวนี้มาก แต่มาลาเรียไม่เห็นกลัว ไม่เห็นชำระได้ ท่านพูดตลกนะ อาจารย์ทองเล่าเรื่องลูกศิษย์ของท่าน ตายเพราะมาลาเรีย
พอรู้สึกตัวขึ้นมาว่าเกิด นี้เราไม่พูดละเอียดลออนะ เราจะพูดย่นๆ เข้าไปอย่างนี้แหละ แกเล่าละเอียดมาก แกตายที่สามผง เขาเผาศพแก แกสะพายบาตรแบกกลดแล้วยืนเฝ้าดูอยู่ โอ๋ นี่เราตายแล้วเขาเผาศพเรา คนเต็มวัด ว่างั้นแหละ พระก็เต็มวัด เราก็ไปยืนดู ไม่มีใครสักคนเดียวมองเห็นเรา เราดูเสร็จเรียบร้อยแล้ว เอ๊อ เกิดมาก็ตายอย่างนี้ไม่เห็นอายุยืนนานอะไร เราจะอยู่ไปหาอะไร ไปแหละ ยังเป็นเพศพระอยู่นะเวลาตายแล้ว ความรู้สึกยังฝังใจอยู่ สะพายบาตรแบกกลดไปดู ท่านว่านะ จากนั้นก็ไป
พอออกจากนี้ก็ไปศาลาใหญ่หลังหนึ่ง อันนี้ที่สำคัญมาก ก่อนที่แกจะมาเกิดแกไปถึงศาลาใหญ่หลังหนึ่งก่อน ศาลานั้นใหญ่มากทีเดียว พวกคนที่ไปเต็มอยู่บนศาลามีแต่พวกผู้ต้องหาทั้งนั้นเลย ศาลาทั้งหลังใหญ่ๆ นั้นมีผู้เป็นคนดีมีศีลมีธรรมอยู่เพียง ๓ คน คนในศาลานั้นเต็มศาลามีแต่ผู้ต้องหา พวกนายเขาหรือพวกยมบาลอะไรก็แล้วแต่จะเรียก เขาเป็นคณะๆ แต่งตัวน่ากลัวมาก สีแดง มีลักษณะเหมือนยักษ์ ส่วนเราที่ไปนั่งอยู่ข้างๆ คนมากๆ นั้นเขาไม่ได้มายุ่งเรา เราก็สนุกดูที่เขาเรียกบัญชีผู้ต้องหา พอเรียกปั๊บมาปุ๊บๆ พอมาแล้วคณะนายบังคับเขามาเรียกไปเป็นระยะๆ คือเป็นพวกๆ แกก็นั่งดูอยู่อย่างนั้น คือเขาไม่มายุ่งกับแกแหละแกจึงสนุกดู
เขาจัดคนเต็มศาลา พวกนี้ทำบาปทำกรรมประเภทนั้นประเภทนี้ ตายแล้วจะต้องไปตกนรกหลุมนั้นๆ เขาเอาคณะกรรมการตามบังคับๆ แต่ละกองๆ มีสองคนคณะกรรมการ อยู่ข้างหน้าก็มีข้างหลังก็มี พอแล้ว พวกนี้กลัวตัวสั่นไปเลย สองคนนั่นเด็ดขาดมากนะจึงเรียกว่ายมบาล ยมบาลก็คือกรรมของพวกนั้นเองละ มาเป็นรูปภาพขึ้นมาเป็นยมบาล เหมือนพวกนั้นเป็นผู้ต้องหานั้นแล พอพวกนี้ไป เรียกปุ๊บๆ อย่างรวดเร็ว พอเรียกปุ๊บมาปุ๊บๆ คนในศาลา เป็นคณะๆ แล้วส่งไปๆ จนกระทั่งคนหมด มีหลายประเภทผู้ต้องหาในนั้น ไม่นานนะ
เวลาเรียกมาปุ๊บๆ ไม่มีใครที่จะมาคัดค้านต้านทานแม้เสียงเดียวก็ไม่มี มีแต่เขาที่เป็นอำนาจใหญ่นั่นแหละ สั่งอะไรๆ นี้มาทันทีๆ และมาด้วยความกลัวความหวาดระแวงทุกอย่าง สั่งออกไปเป็นพักๆ มีผู้ควบคุมไปพักละสองคนๆ นายควบคุมไป จนกระทั่งหมด ศาลานี้ว่างหมดเลย สักเดี๋ยวก็เรียกผู้ดีมา ฝ่ายผู้ดีนี้เรียกมาสุดท้ายนะ ฝ่ายคนเลวคนชั่วนี้มาก่อนทั้งหมด
ทีนี้พูดถึงเรื่องกรรม กรรมมีหลายประเภท นับตั้งแต่ประเภทอนันตริยกรรมลงมา อนันตริยกรรมนี้เรียกว่ากรรมอย่างหนักมาก มี ๕ ประการ ที่หนักมากในแดนสมมุตินี้ ไม่มีกรรมใดที่จะเกินกรรม ๕ ประการนี้ได้เลย กรรม ๕ ประการนี้คืออะไร
๑.ฆ่ามารดา
๒.ฆ่าบิดา
๓.ฆ่าพระอรหันต์
๔.ทำลายพระพุทธเจ้าแม้ไม่ตายก็ตาม
๕.สังฆเภท ยุยงให้สงฆ์แตกจากกัน
กรรมทั้ง ๕ ประเภทนี้หนักมากทีเดียว เรียกว่าอนันตริยกรรม กรรมไม่มีระหว่างที่ความทุกข์นั้นจะคลายออกไปชั่วระยะฟ้าแลบ ความสุขได้ปรากฏนิดหนึ่งขณะฟ้าแลบไม่มี เรียกว่าไม่มีระหว่าง ความทุกข์ติดกันไปเลย เป็นกรรมที่หนักมากที่สุด เรียกพวกนี้มา พวกนี้ไม่มากนะ ต่อจากนั้นก็มากไปๆ พวกทำกรรมไม่หนักมากนักนี้ยิ่งมากๆ เป็นลำดับจนกระทั่งหมด ทีนี้พระองค์นั้นท่านถามละซี แล้วอาตมาล่ะจะให้ไปที่ไหน เห็นแต่เรียกพวกนั้นไปๆ จนกระทั่งหมดแล้ว อาตมาจะให้ไปไหน
โห ท่านเป็นผู้ทำคุณงามความดี ไม่มีในบัญชีเหล่านี้ บัญชีเหล่านี้เป็นผู้ต้องหา สำหรับท่านจะไปทางไหนได้ ทางดีทั้งนั้น เอ้า ถ้าท่านอยากไปมนุษย์ ยมบาลเขาชี้บอก นายใหญ่เขาอยู่ที่นั่น ถ้าท่านต้องการไปสวรรค์ก็ให้ไปแดนนี้ คือมันมีสระหนึ่งอยู่นั้น แกเล่าอย่างละเอียดลอออาจหาญมาก สระนี้สำหรับรับคนดี แต่นี้ยังมีผู้หญิงอยู่ ๓ คนกำลังจะให้ลง ท่านคอยดูเสียก่อนนะ เชิญผู้จะไปสวรรค์เป็นผู้หญิงแหละมา เขาเชิญคุณแม่...ไม่รู้เขารู้ชื่อมาแต่เมื่อไร เชิญคุณแม่...มาที่นี่ ลงไปสระนี้แล้วรถทิพย์จะมาเอง เขาบอก
เราก็ยิ่งจดจ่อ ตั้งแต่บวชมาจนกระทั่งป่านนี้เราไม่เคยเห็นรถทิพย์ วันนี้เราจะได้เห็นรถทิพย์ว่างั้นนะ ท่านเล่าน่าฟัง พอเรียกปั๊บนี้ คุณแม่เข้ามาปั๊บ เชิญลงไปนี้ละ การแต่งเนื้อแต่งตัวไปนี้พอไปถึงสระนี้ให้เปลื้องออกให้หมด แล้วลงน้ำนี้ไป รถจะมาฝั่งนั้นแล้วขึ้นไป เครื่องแต่งเนื้อแต่งตัวของพวกเทพเขาเตรียมมาพร้อมหมด เรียกว่าเครื่องทิพย์เครื่องเทพ โอ๋ย คล่องตัวทุกอย่างนะ ผู้หญิงนั้นก็มา ผู้หญิงนี้ก็มา ผู้นี้ลงไปปั๊บ รถทิพย์มาแล้วๆ พอดีกับตัวเองๆ นะ
สามคนก็มีรถสามคัน ไม่ใช่ขึ้นคันเดียวกันอัดแอกันไปติดที่นั่นที่นี่ เหมือนอย่างรถในกรุงเทพฯของเรา รถในกรุงเทพฯของเรานี้ติดตามถนนหนทางแล้วยังไม่แล้ว เข้ามาในบ้านเจ้าของเองก็มาติดอยู่ตามทางเข้าบ้าน เข้าไปในครัวก็ไปติดอยู่ในครัว มีแต่รถติดๆ เข้าไปในหม้อแกงรถก็ไปติดอยู่ในหม้อแกง จะตักอาหารขึ้นในปากรถก็ติดอยู่ในปากในคอ นี่รถเมืองไทยเรามันติดตลอดเข้าใจไหม รถทิพย์มาเฉพาะๆ พอเรียกคุณแม่นั้นปั๊บคุณแม่นั้นมาทันที เพราะนั่งรออยู่แล้ว นั่งเงียบๆ
พอเรียกปั๊บก็มาอย่างสุภาพอ่อนโยน พระท่านดูชัดเจนมากนะ พอปล่อยเครื่องนี้ปั๊บลงน้ำ พอขึ้นปั๊บเขาแต่งเนื้อแต่งตัวให้เรียบ ทีนี้กลายเป็นแดนสวรรค์ขึ้นมาในผู้หญิงคนนั้นๆ แล้วรถทิพย์ก็บึ่งขึ้นเลย ท่านดูจนกระทั่งขึ้น สูงแล้วก็เอี้ยวๆ แล้วสุดสายตา ผู้หญิงคนนี้มาอีกแบบเดียวกันสามคน ไปหมด สำหรับอาตมาล่ะที่นี่ย้อนมาอีก “เออ ท่านจะไปสวรรค์ก็ได้ ถ้าอยากไปสวรรค์ให้ลงที่นี่รถทิพย์จะมาทันที นั่นฟังซิน่ะ เพราะท่านมีบุญได้ทำไว้เรียบร้อยแล้ว รถทิพย์จะมารับท่านทันที ถ้าท่านอยากไปแดนมนุษย์ก็ให้ย้อนหลังคืนไปที่ท่านมา ทางไปมนุษย์ไปทางนี้ ทางไปสวรรค์ลงสระน้ำนี้”
“อาตมาไม่อยากไปละ แดนสวรรค์ก็ยังไม่อยากไป มนุษย์ก็ไม่อยากไป เวลานี้กำลังหิวน้ำ จะไปหากินน้ำก่อน” เออ ก็ตามแต่อัธยาศัย พอลงไปจึงไปเจอผู้หญิงคนหนึ่งเขามาตักน้ำกลางทุ่งนา บ้านที่ว่านี้ บ้านที่เณรนี้ไปเกิด เขาบอกให้ไปรออยู่บ้านหลังนี้ เขาชี้บอก ให้ไปรออยู่ที่นั่น เขาตักน้ำแล้วเขาจะไปที่นั่น พอไปถึงบ้านนั้นรู้สึกว่าเหนื่อย ไปถึงบ้านเขาแล้ว เขายังตักน้ำมาไม่ถึงนะเจ้าของบ้านเขาน่ะ เลยไปนั่งเคลิ้มหลับไป ครู่หนึ่งตื่นขึ้นมาเป็นเด็ก เขาเรียกเณรเลี่ยม “นี่กูเกิดได้ยังไงที่นี่” ปุ๊บเดียวเท่านั้น เคลิ้มหลับไปเข้าในครรภ์เกิดแล้ว พอออกมาความรู้สึกนี้มันติดอยู่กับตัวหมด เป็นพระอยู่ตลอดนะ ใครพูดอะไรรู้เรื่องหมด ตั้งแต่อายุพอรู้เดียงสา มันรู้ภาษามนุษย์มาแล้ว เพราะมันติดกันมา พูดอะไรก็เหมือนเมื่อวานกับวันนี้มันจะหลงลืมไปไหน ทีนี้พอโตขึ้นมาแล้วพอพูดได้บ้างเล็กน้อยก็มีแต่อาตมาๆ พ่อแม่กับลูกมันจะว่าอะไรก็มันชินกันใช่ไหม เรียกพ่อก็เรียกอาตมา กับแม่ก็อาตมา ทีนี้พ่อแม่และคนภาคอีสานเป็นนิสัยปากเปราะ และนิสัยพูดโฮกฮากเหมือนขวานผ่าซาก แต่เป็นนิสัยอย่างนั้นพูดไม่มีพิษมีภัย
“นี่จะมาอาตมาๆ หีพ่อหีแม่มึงยังไง มึงก็เป็นลูกของกู” แม่ว่าให้ “มึงจะอาตมงอาตมาหาพ่อหาแม่มึงยังไง มึงก็เป็นลูกของกู กูเลี้ยงมึงมา” พอว่าอย่างนั้นปรากฏว่าความรู้สึกของเราลดวูบหมดเลย เพศของพระหายในขณะนั้น ปรากฏเป็นเด็กขึ้นมาแล้ว ก็เลยเล่าเรื่องให้ฟัง “นี้ไม่ใช่แม่ของผม แม่ของผมอยู่ที่บ้านนั้นๆ ผมบวชเป็นพระมาตายในเพศของพระ เพราะฉะนั้นผมจึงเรียกว่าอาตมาๆ ” พอแม่ได้ยินอย่างนั้นร้องห่มร้องไห้นะ ไม่ใช่เป็นเรื่องเจตนาพูดอะไรผิดๆ พลาดๆ ของเด็ก พูดเป็นเจตนาฝังลึกมาว่าเคยเป็นพระมาอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงได้พูดว่าอาตมาๆ พอเล่าให้ฟังนี่ไม่ใช่แม่ของอาตมานะ แม่ของอาตมาอยู่นู้นๆ เลยเกิดความสลดสังเวช นี่โตสักหน่อยผมไปเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่ของผม ทางนี้ออดอ้อนไม่ให้ไป อันนี้ก็แม่เลี้ยงมาจนแทบเป็นแทบตายจะไปยังไง นั้นก็พ่อนี่ก็แม่ นั่นผ่านมาแล้วนี่กำลังเลี้ยงสดๆ ร้อนๆ แม่ไม่ให้ไป นี่ละเรื่องราว เอากันเพียงยุติอย่างนี้เท่านั้นไม่เอามาก
พูดถึงเรื่องระลึกชาติได้ เณรนี้เราเป็นผู้ซักอย่างละเอียดลออ แล้วไปหาท่านอาจารย์ทอง ให้ไปชี้ท่านอาจารย์ทอง ท่านอาจารย์ทององค์ไหน ถ้าว่าอาจารย์ทองเป็นอาจารย์ของเราจริง ก็อาจารย์ทองท่านมาในงานศพนี่น่ะ เอาไปชี้ตัว เอาจริงนะเราไม่ได้เหมือนใคร ถ้าลงจับแล้วจับให้ถึงตัว ทีแรกไม่ได้ไปหาอาจารย์ทอง ไปเที่ยวทดลองดูก่อน อาจารย์ใหญ่ๆ องค์ไหนไป องค์นี้ใช่ไหม บอกไม่ใช่ แล้วก็พาไปหาอาจารย์องค์นี้ ในงานนั้นน่ะ ไม่ใช่ๆ เรื่อยๆ ทีนี้ไปหาตัวจริง พอเดินฉากๆ เข้าไป นี่ใช่ไหม ใช่ทันทีเลย นั่นเห็นไหมล่ะ เราก็ยอมรับอาจารย์ทองกับเราคุ้นกันมาแต่เมื่อไร นี่ละเรื่องราว แกจำได้ขนาดนั้น เวลาท่านอาจารย์ทองเล่าเรื่องของเณรนี้ละเอียดแบบเดียวกัน กับท่านเล่าเรื่องของอาจารย์ทอง
ให้พากันจำเอาถึงเรื่องระลึกชาติได้ นี่หมายถึงคนเราที่ระลึกชาติได้พูดไม่มีผิดมีพลาด เอาท่านอาจารย์ทองมาเครื่องยืนยัน เป็นอันเดียวกันไปเลย เป็นอย่างนั้นนะ ที่ระลึกชาติไม่ได้มันก็เหมือนไม่มีๆ อย่างนั้น วันนี้พูดเรื่องอะไรมันยาวพอแล้วละ ระลึกชาติย้อนหลัง ไปพวกอาตมาให้กลับไปบ้านนะ ได้ยินไหมล่ะเราเหนื่อยแล้ว ที่ขบขันดี คือเณรที่เล่าให้ฟังว่าอาตมาๆ แม่ดุลูก “อาตมาหีพ่อหีแม่มึงยังไง กูเลี้ยงมึงมาแทบเป็นแทบตายมึงไม่ใช่พระ มึงจะมาอาตมาอะไรกับกู กูเป็นแม่มึง” เณรนี่เล่าให้ฟัง โอ๋ยน้ำตาร่วง คือแม่ก็พูดตามภาษาของแม่ ไอ้เด็กก็รู้ตามภาษาของเด็กที่รู้มา พอเข้าใจกันแล้วแม่ร้องไห้เลยนะ เอาละพอ
นี่สดๆ ร้อนๆ อย่างที่ว่าเณรนี่ เรียกเณรเลี่ยมนะ ตั้งแต่นั้นมาไม่พบกันอีกเลย มันจะสึกไปแล้วไปไหนก็ไม่รู้ ไม่ได้พบกันอีก แกเป็นข้อยืนยันได้เต็มบ้านเต็มเมือง ว่าเณรนี้ระลึกชาติได้ แกไม่อยากเล่านะ แกว่า พอเล่าถึงเรื่องความระลึกชาติได้ทีไรเป็นไข้ทุกที แกเข็ดแกบอก ไม่อยากเล่า เล่าทีไรเป็นทุกทีเป็นไข้สดๆ ร้อนๆ มันหากเป็นของมันเอง เราก็ยืนยันรับรอง เอาไม่ให้เป็นคราวนี้นะ มีเท่าไรเล่าให้หมด ไม่เป็น เอาเล่ามา เล่ามาหายแล้วไม่เป็นจริงๆ นะ ไม่เป็นเลย แกก็ยอมรับมีท่านอาจารย์นี้เท่านั้น ไม่เป็นไข้ นอกนั้นเป็นหมด นั่นซิมันกลัวอาตมา เราเลยพูดหยอก อาตมาเป็นพระมันก็ต้องกลัวซิไข้ มันจะอยู่ได้ยังไง
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ
www.Luangta.or.thและรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
บันทึกการเข้า
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04 ธันวาคม 2010, 15:01:37น. โดย yah