"หวยซอง เลขเด็ด เขียนโดยสาธารณชน เป็นการเสนอแนะเพื่อเสี่ยงโชคซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ถูกกฎหมายเท่านั้น ไม่มีการขายหวยทุกชนิด และ ไม่มีใครทราบว่าหวยจะออกตัวไหน โปรดใช้วิจารณญาณ"

เรื่อง: “นาฬิกาชีวิต” ใช้ชีวิตตามเวลา สุขภาพดีทันตาเห็น
 
 5768

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 174378
05 ตุลาคม 2019, 10:37:59น.
“นาฬิกาชีวิต” ใช้ชีวิตตามเวลา สุขภาพดีทันตาเห็น





นาฬิกาชีวิต คือ คือวงจรของระบบการทำงานในร่างกายมนุษย์ ที่มีหน้าที่ในการควบคุมการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการตื่นนอน การนอนหลับ หรือการหลั่งฮอร์โมน แม้แต่การแปรเปลี่ยนของอุณหภูมิในร่างกาย โดยนาฬิกาชีวิตนั้นจะมีรอบเวลาประมาณ 24 ชั่วโมง ตามเวลาโดยทั่วไป ซึ่งนาฬิกาชีวิตจะถูกควบคุมโดยแสงและอุณหภูมิภายในร่างกาย ซึ่งเมื่อร่างกายได้รับแสงแดดและมีอุณหภูมิในระดับที่เหมาะสม ร่างกายก็จะเริ่มทำงานตามวงจรในแต่ละวัน โดยวงจรดังกล่าวมีชื่อเรียกว่าจังหวะเซอร์คาเดียน (Circadian Rhythms)


การทำความรู้จักกับนาฬิกาชีวิตและพยายามปรับไลฟ์สไตล์ของเราให้แมทช์กับการทำงานของอวัยวะต่างๆก็เป็นเคล็ดลับสุขภาพดีแบบง่ายๆ ที่ได้ประโยชน์มากเลยทีเดียว


นาฬิกาชีวิตทำงานอย่างไร ?
05.00 - 07.00 เวลาของลําไส้ใหญ่ ตื่นมาขับถ่ายกันดีกว่า
"ตื่นนอน และดื่มน้ำมากๆ เพื่อกระตุ้นระบบขับถ่าย" ลำไส้ใหญ่จะทำงานได้ดีในเวลานี้ ทำให้ของเสียและกากอาหารถูกขับออกจากร่างกายได้ดีที่สุด ถ้าเราไม่ถ่าย ร่างกายจะดูดซึม ของเสียเข้าสู่ร่างกายอีกรอบ ส่งผลกระทบมากมาย เช่น เป็นหวัด ไอ สิว  ร้อนใน ท้องผูก แน่นท้อง อาหารไม่ย่อย ริดสีดวงทวาร มะเร็งลําไส้ เป็นต้น


07.00 - 09.00 เวลาของกระเพาะอาหาร มาทานอาหารเช้ากัน
"ร่างการต้องการพลังงาน ฉะนั้นอาหารเช้าจําเป็นสุดๆ" ห้ามงดอาหารเช้าเด็ดขาด ช่วงนี้กระเพาะอาหารจะแข็งแรง สามารถย่อยอาหาร และดูดซึมได้ดีที่สุด ถ้าเราไม่ทานอาหาร กระเพาะ และม้ามจะอ่อนแอ ประกอบกับร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่จําเป็น ทําให้ร่างกายสร้างเลือดได้น้อย เลือดที่จะไปเลี้ยงสมองอาจไม่พอ มีผล ต่อสมาธิ ความจํา การตัดสินใจซ้า ขี้กังวล แก่เร็ว ระยะยาวอาจจะอ้วนได้


09.00 - 11.00 เวลาของม้าม และตับอ่อน ร่างกายกระปรี้กระเปร่า พร้อมทำงานแล้วล่ะ
"ช่วงเวลานี้ร่างกายตื่นตัวมาก กระปรี้กระเปร่า การทํางานหรือทํากิจกรรมอะไรจะได้ผลดี" เพราะม้ามจะดูดซึมสารอาหารที่มีประโยชน์ จากอาหารเช้า และส่งสารอาหารไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เพราะฉะนั้นถ้าเราทานอาหารเช้าที่มีประโยชน์ ม้ามก็จะนําสารอาหารดี ๆ ไปหล่อเลี้ยงร่างกาย ทําให้ร่างกายสดชื่น สมองทํางานได้ดี


11.00 - 13.00 เวลาของหัวใจ ผ่อนคลาย นั่งทานข้าวเที่ยงแบบชิลล์ๆ
"เป็นช่วงเวลาของหัวใจ ที่ทําหน้าที่สูบฉีดเลือด และสารอาหารไปเลี้ยงทั้งร่างกาย" ซึ่งจะทํางานหนักที่สุด ช่วงนี้ระดับความดันเลือดในร่างกายเพิ่มสูงขึ้น ฉะนั้นช่วงเวลานี้ ห้ามเครียดเด็ดขาด ถ้าเราทําจิตใจให้สบาย ผ่อนคลาย ถือเป็นการดูแล กะนุถนอมหัวใจให้แข็งแรงอีกด้วย


13.00 - 15.00 เวลาของลําไส้เล็ก งดอาหารด้วยนะ
"ช่วงเวลานึ้งดอาหารทุกชนิด อย่าทานของจุกจิก เพราะจะเป็นการรบกวนการทํางานของลําไส้เล็ก" ซึ่งมีหน้าที่ย่อย แยกแยะ และดูดซึมอาหารที่เป็นน้ำทุกชนิด เช่น วิตามินซี, วิตามินบี, โปรตีน ซึ่งทําหน้าที่สร้างกรดอะมิโน ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างเซลล์สมอง เวลานี้สมองซีกขวาทํางานดี ทั้งเรื่องความจํา จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ การวางแผน เป็นต้น


15.00 - 17.00 เวลาของกระเพาะปัสสาวะ ดื่มน้ำบ่อยๆ และออกกําลังกาย
"ช่วงเวลานี้กระเพาะปัสสาวะ รอกําจัดของเสียออกจากร่างกาย" เพราะฉะนั้นช่วงนี้ควรดื่มน้ำเยอะ ๆ อย่ากลั้นปัสสาวะ การกลั้นปัสสาวะจะทําให้ปัสสาวะดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด มีผลในเรื่องความจํา ไทรอยด์ และระบบสืบพันธุ์ รวมทั้งจะทําให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบอีกด้วย และช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่หลอดเลือดหัวใจ และกล้ามเนื้อในร่างกายมีความแข็งแรง เหมาะที่จะ ออกกําลังกาย ทําให้เหงื่อออก เพื่อช่วยขับของเสียออกจากร่างกายอีกทางหนึ่ง


17.00 - 19.00 เวลาของไต สดชื่น แจ่มใส
ช่วงเวลานี้ยังไม่ควรเข้านอน เพราะจะทําให้ไตทํางานหนัก ควรออกกําลังกายหรือทํางานบ้าน เพื่อให้ร่างกายสดขึ้น แอคทีฟ เพิ่มความดันเลือด แถมช่วยให้ผิวสดใสแข็งแรง เปล่งปลั่งอีกด้วย ช่วงนี้ไตทําหน้าที่หนักในการกรองของเสียออกจากเลือด และรักษาสมดุลในร่างกาย


19.00 - 21.00 เวลาของเยื่อหุ้มหัวใจ ทําจิตใจให้ผ่อนคลาย เข้าสู่โหมดธรรมะ นั่งสมาธิ
ช่วงเวลานี้ร่างกายต้องการความสงบ หยุดนิ่ง จะช่วยให้จิตใจ และร่างกายพร้อมที่จะเข้านอน ไม่ควรทําอะไร ตื่นเต้น หรือใช้พลังงานเยอะ เช่น ออกกําลังหนักๆ หรือทานอาหารปริมาณมาก เพราะจะทําให้นอนไม่หลับ เนื่องจากเยื่อหุ้มหัวใจเป็นส่วนประกอบสําคัญของหัวใจ และช่วงเวลานี้มีความสําคัญในการทํางานของระบบ หมุนเวียนเลือด และส่งอาหาร ออกซิเจน เม็ดเลือดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย


21.00 - 23.00 เวลาการทํางานของระบบอุณหภูมิในร่างกาย นอนกันเถอะ
ทําร่างกายให้อบอุ่น ห้ามอาบน้ำเย็นในช่วงนี้ จะทําให้ป่วยง่าย อ่อนแอ เพราะช่วงนี้ร่างกายต้องการความอบอุ่น ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ระบบหายใจ (หัวใจ ปอด), ระบบย่อยอาหาร (กระเพาะอาหาร ม้าม ตับ) และระบบขับถ่าย (ไต กระเพาะปัสสาวะ ลําไส้เล็ก) พร้อมปรับสมดุลในร่างกาย อุณหภูมิในร่างกายจะค่อยๆ ลดลง ร่างกายเริ่มหลั่งเมลาโทนิน ช่วงนี้จึงควรนอนหลับพักผ่อน อย่าลืมจิบน้้ำนิดหน่อยก่อนนอนด้วยนะ


23.00 - 01.00 เวลาของถุงน้ำดี
ที่ต้องจิบน้ำก่อนนอนช่วง 21.00 - 23.00 น. ก็เพราะช่วงเวลานี้จะมีผลกับถุงน้ำดี เพราะถุงน้ำดีเป็นถุงสํารอง เก็บน้ำดีที่ได้จากตับ พร้อมส่งไปช่วยย่อยไขมันในลําไส้เล็ก หรือถ้าอวัยวะใดในร่างกายขาดน้ำ จะดึงน้ำจากถุงน้ำดี ถ้ามีการดึงมากเกินไป ทําให้น้ำดีข้น เป็นผลทําให้สายตาเสื่อม เหงือกบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ ปวดหัว


01.00 - 03.00 เวลาของตับ หลับให้สนิท ช่วยให้อ่อนกว่าวัย
เป็นเวลาที่ต้องพักผ่อน เพื่อให้เลือดไหลเวียนมาที่ตับได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตับจะหลั่งสารที่ช่วยฆ่าเชื้อโรค ทำให้หน้าอ่อนกว่าวัย เพราะขณะที่เรานอนหลับ ตับจะกําจัดของเสียออกจากร่างกาย พร้อมเก็บสะสมเลือด ลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยนำมาสกัด และเก็บในรูปของไกลโคเจน

เพราะฉะนั้นถ้าช่วงเวลานี้เราไม่หลับ จะทำให้เลือดในตับน้อย ส่งผลให้ตอนเช้าเวียนหัว มึนหัว อ่อนเพลีย กลายเป็นคนขี้หงุดหงิดได้ และตับยังมีหน้าที่ดูแลเส้นผม ขน เล็บของเราให้แข็งแรงสวยงามอีกด้วย


03.00 - 05.00 เวลาของปอด เตรียมตื่น รับอากาศให้เต็มปอด
ใครอยากมีผิวเด้ง หน้าใส ต้องตื่นช่วงเวลานี้นะ เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า ทำให้ระบบหายใจทำงานเต็มที่ เป็นช่วงเวลาที่ปอดทำหน้าที่ฟอกเลือดได้อย่างเต็มที่ พร้อมแจกจ่ายไปยังเซลล์ต่างๆ ใหได้รับออกซิเจนเพียงพอ


การปรับพฤติกรรมให้ได้ตามหลัก นาฬิกาชีวิต อาจต้องใช้เวลาสักหน่อย หรืออาจจะลองช่วงเวลาที่เราคิดว่าทำได้ง่ายสุดดูก่อน จากนั้นค่อยๆ ปรับพฤติกรรมให้ได้ตามช่วงเวลาอื่นๆ เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นนั่นเอง






ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 174378
ตอบกลับ #1 05 ตุลาคม 2019, 10:41:38น.

7 วิธีลด “เครียด-ความดันโลหิต” อย่างได้ผลและปลอดภัย




ความเครียด และความดันโลหิตสูง เป็นสาเหตุของโรคอันตรายหลายโรค ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ หลอดเลือดหัวใจตีบ หรือหลอดเลือดสมองตีบ ที่อาจทำให้เสียชีวิตได้ภายในไม่กี่นาที หากปล่อยให้มีความเครียดสะสม รวมถึงมีความดันโลหิตสูงอย่างต่อเนื่องโดยไม่รีบเข้ารับการรักษา อาจเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตได้ทุกเมื่อ


 7 เคล็ดลับง่ายๆ ที่ช่วยลดความเครียด และลดความดันโลหิตสูงมาให้ได้ลองทำเองที่บ้าน รับรองว่าง่ายกว่าที่คิดแน่นอน

 
7 วิธีลด “เครียด-ความดันโลหิต” อย่างได้ผลและปลอดภัย

    นอนหลับให้เพียงพอ
รู้หรือไม่ว่าการอดหลับอดนอน นอนไม่เพียงพอ ทำให้เกิดความเครียดสะสม และยังเป็นหนึ่งในสาเหตุที่สำคัญของภาวะความดันโลหิตสูงอีกด้วย นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบไปถึงสุขภาพจิต และสุขภาพกายโดยทั่วไปอื่นๆ อีกด้วย


    เรียนรู้วิธีผ่อนคลาย
ในที่นี้เราไม่ได้หมายถึงแค่ว่าการนั่งสมาธิ การเล่นโยคะ หรือการรำไทเก๊ก แต่หมายถึงกิจกรรมใดๆ ก็ตามที่ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายได้ ซึ่งเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลที่จะมีกิจกรรมที่ทำแล้วรู้สึกสบายใจแตกต่างกันไป บางคนอาจชอบฟังเพลง ดูหนังสบายๆ วาดรูป เย็บปักถักร้อย หรือแม้กระทั่งการออกกำลังกาย เช่น แอโรบิค ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำ ค้นหากิจกรรมที่ทำแล้วชอบ รู้สึกผ่อนคลาย แล้วหาเวลาให้กับสิ่งเหล่านี้บ้างอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง


    เข้าสังคมอยู่เรื่อยๆ
อย่าเอาตัวเองออกมาจากสังคมเพื่อนนานเกินไป จริงอยู่ที่เราควรมีเวลาส่วนตัวให้กับตัวเองบ้าง แต่การพบปะเพื่อนฝูง ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น หรือทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น กินข้าว ดูหนัง ไปเที่ยว ชมคอนเสิร์ต นิทรรศการต่างๆ ทำให้ช่วยคลายเครียดได้อย่างธรรมชาติ


    จัดเวลาให้ดี
ไม่ว่าคณจะงานยุ่งแค่ไหน แต่หากคุณจัดสรรแบ่งเวลาให้ดี เคลียร์งานในเวลาที่ตัวเองกำหนด เพื่อเผื่อเวลาทำกิจกรรมกับเพื่อน คนรัก และคนในครอบครัว หรือการรักษา work-life balance คุณจะลดความตึงเครียดจากการทำงานไปได้มาก (หากงานล้นมือจนทำไม่ทันจริงๆ ต้องรีบแก้ไขด้วยการแบ่งงานทำ ยืดเวลาส่งงาน หรือขอความช่วยเหลือจากหัวหน้างาน)


    แก้ปัญหาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
การปล่อยให้มีปัญหาคาราคาซังอยู่ต่อไปเรื่อยๆ มีแต่จะทำให้ทุกอย่างแย่ลง ทั้งตัวงาน และสุขภาพจิต และสุขภาพกายของคุณเองด้วย รวมถึงไปปัญหาส่วนตัวที่เกิดขึ้นกับความสัมพันธ์ในชีวิตคู่ หรือในครอบครัวของคุณ เมื่อไรก็ตามที่มีปัญหา ควรรีบแก้ไข พูดคุยเปิดใจโดยเร็วที่สุด
 

    หาเวลาดูแลตัวเองบ้าง
แม้ว่าคุณจะยุ่ง แต่ควรหาเวลาช่วงว่างในสุดสัปดาห์มาดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการไปนวดแผนโบราณ กินอาหารอร่อยๆ ที่ร้านโปรด ทำผมทำเล็บ เดินเล่นในที่ที่อยากไป ทำอาหารที่อยากกินที่บ้าน หรือฟังเพลงที่ชอบ เป็นต้น


    ขอความช่วยเหลือ
เมื่อไรก็ตามที่รู้สึกเครียดจนเกินจะรับไหว ควรเล่าเรื่องราวที่รู้สึกว่าเป็นปัญหาให้กับคนรอบตัวได้รับฟังบ้าง ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว คนรัก เพื่อนฝูง หรือใครก็ตามที่คุณไว้ใจ หรือหากคิดว่าการระบายความในใจออกไปยังไม่ได้ผลที่ดีนัก ควรปรึกษาจิตแพทย์เพื่อหาทางรักษาก่อนที่ความเครียด และความดันโลหิตจะทำลายสุขภาพไปมากกว่านี้







ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 174378
ตอบกลับ #2 05 ตุลาคม 2019, 10:50:54น.

วิธีเก็บ "น้ำฝน" ลดโรค ลดการปนเปื้อน




เก็บ "น้ำฝน" ไว้ใช้อุปโภคบริโภคในช่วงหน้าฝนได้หรือไม่? น้ำฝนสมัยนี้ยังปลอดภัยอยู่หรือเปล่า?
นายแพทย์ดนัย  ธีวันดา รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ช่วงเวลานี้ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ฤดูฝน ทำให้ประชาชนในบางพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้ที่สะอาด จำเป็นต้องมีการเก็บน้ำฝนไว้ใช้ในการอุปโภคบริโภคตลอดทั้งปี เพราะน้ำฝนจัดว่าเป็นน้ำที่สะอาด แต่ก็สามารถเกิดสิ่งสกปรกได้ง่ายเช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมของสถานที่ตั้งบ้านเรือน หลังคา และภาชนะเก็บกักน้ำฝน โดยเฉพาะพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับโรงงานอุตสาหกรรม การจราจรหนาแน่น หรือมีมลพิษทางอากาศ ล้วนมีความเสี่ยงจากฝุ่นละอองไอจากท่อไอเสีย ควันจากโรงงาน เพราะอาจทำให้เสี่ยงปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียและสารเคมีต่างๆ โดยเฉพาะก๊าซที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลคือซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และออกไซด์ของไนโตรเจนที่จะปนเปื้อนกับน้ำฝนที่ตกลงมา เกิดเป็นภาวะฝนกรดคือมีค่าพีเอชต่ำกว่า 5.6 ที่เกิดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและสิ่งก่อสร้างอย่างมาก


น้ำฝนในปัจจุบัน ปลอดภัยแค่ไหน?
ข้อมูลการเก็บคุณภาพน้ำฝนของกรมอนามัย พบว่า น้ำฝนที่เก็บจากภาชนะเก็บน้ำฝนในครัวเรือน ทั่วประเทศตั้งแต่ปี 2552-2561 มีคุณภาพผ่านเกณฑ์เฉลี่ยร้อยละ 23.39 ที่ไม่ผ่านเกณฑ์ส่วนมากพบปนเปื้อนแบคทีเรีย ส่วนสี ความขุ่น ความเป็นกรด-ด่าง พบบ้างเล็กน้อย


วิธีรองน้ำฝนมาใช้อย่างปลอดภัย
ก่อนการเก็บน้ำฝนไว้ใช้ ควรเริ่มจากการทำความสะอาดรางรับน้ำฝน และภาชนะเก็บน้ำให้พร้อมใช้งาน

หากไม่ได้ล้างรางน้ำฝน ไม่ควรรองรับน้ำฝนที่ตกในช่วงแรกๆ ควรปล่อยให้ฝนตกสักระยะหนึ่งก่อนเพื่อชะล้างสิ่งสกปรกในอากาศและหลังคาให้สะอาด

ส่วนภาชนะใช้รองรับน้ำฝนก็ต้องล้างให้สะอาด ปิดด้วยมุ้งพลาสติก และปิดภาชนะให้มิดชิด เพื่อให้มั่นใจก่อนนำน้ำฝนมาดื่ม

ควรนำน้ำฝนไปฆ่าเชื้อโรคด้วยการต้มในน้ำเดือดอย่างน้อยประมาณ 10 นาที เป็นการลดอัตราเสี่ยงจากการเจ็บป่วยเนื่องจากน้ำเป็นสื่อ อาทิ โรคระบบทางเดินอาหาร อุจจาระร่วง เป็นต้น






ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 174378
ตอบกลับ #3 05 ตุลาคม 2019, 10:54:51น.

9 วิธีแก้อาการ “สะอึก” อย่างได้ผลภายในเวลาไม่กี่นาที



อาการสะอึก เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน เกิดจากอาการที่กระเพาะอาหารเกิดอาการระคายเคือง เส้นประสาทจึงถูกกระตุ้นให้ทำงานผิดปกติ ส่งผลให้กะบังลม หรือกล้ามเนื้อที่กั้นกลางระหว่างช่องอก กับช่องท้อง มีการหดเกร็งเป็นจังหวะ กล้ามเนื้อซี่โครงได้รับผลกระเทือนให้เกิดจากหดเกร็งตัวในลักษณะเดียวกัน

สาเหตุของอาการสะอึกมีทั้งทางกายภาพ เช่น ผลข้างเคียงจากความผิดปกติของคอและหน้าอก เช่น พบก้อนเนื้องอก ต่อมน้ำเหลืองโต หรือความผิดปกติของช่องท้อง เช่น เยื่อบุช่องท้องอักเสบ ไตวาย หรืออาการที่เกิดขึ้นหลังเข้ารับการผ่าตัด ส่วนอาการสะอึกจากอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลง เช่น มีอาการตกใจกะทันหัน หรือมีปัญหาความเครียดเรื้อรัง

นอกจากนี้ การดื่มเครื่องดื่มที่มีแก๊สมาก แอลกอฮอล์ การทานอาหารมากเกินไป ทานอาหารรสจัด  และสูบบุหรี่จัด ก็เป็นสาเหตุของอาการสะอึกได้เช่นกัน

ตามปกติแล้ว อาการสะอึกจะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง แต่หากมีอาการสะอึกในช่วงเวลาสำคัญ เช่น อยู่ระหว่างประชุม สัมภาษณ์งาน หรืออยู่ในที่สาธารณะ เราก็อยากให้อาการสะอึกหายไปเร็วๆ ลองทำตามเคล็ดลับเหล่านี้ดูค่ะ

 

9 วิธีแก้อาการ “สะอึก” อย่างได้ผลภายในเวลาไม่กี่นาที

หายใจในถุงกระดาษ

เคี้ยวขนมปังแห้ง

ก้มตัวดื่มน้ำจากขอบแก้ว จากด้านตรงข้าม หรือด้านที่อยู่ไกลจากริมฝีปาก

จิบน้ำจากแก้วเร็วๆ หลายๆ อึก

กลืนน้ำแข็งบดละเอียด

ทำให้ตกใจ เช่น ตกหลังเบาๆ กะทันหัน

กดจุด โดยบีบตรงเนินใต้นิ้วโป้งของมืออีกข้างหนึ่ง หรือกดบริเวณร่องเหนือริมฝีปาก

ใช้นิ้วมืออุดหูราว 20-30 วินาที

จิบน้ำมะนาวสด
 

หากทำทุกวิธีแล้ว อาการสะอึกยังไม่หาย ขอให้ใจเย็นๆ แล้วนั่งรอสักพัก อาการจะค่อยๆ ดีขึ้นในไม่ช้าค่ะ แต่หากคุณมีอาการสะอึกบ่อย หรือสะอึกแรงจนมีอาการเจ็บคอ เจ็บหน้าอก หรือปวดท้อง ควรพบแพทย์เพื่อตรวจเช็คร่างกายอย่างละเอียดอีกครั้งค่ะ







ผู้ช่วย Webmaster *
  • พลังน้ำใจ: 174378
ตอบกลับ #4 05 ตุลาคม 2019, 10:58:26น.

12 วิธีป้องกันโรค "กรดไหลย้อน" ไม่ให้ย้อนกลับมาหาอีก




โรคกรดไหลย้อน (gastroesophageal reflux disease: GERD) ถือว่าเป็นโรคสุดยอดแห่งความทรมาน แม้ว่าจะเป็นโรคที่ไม่รุนแรง และไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่ก็เป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตมากทีเดียว สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่

สาเหตุของโรคกรดไหลย้อน เกิดจากภาวะน้ำย่อยในกระเพาะอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด ไหลย้อนกลับขึ้นไปสร้างความระคายเคืองในหลอดอาหาร และลำคอ มีน้ำรสเปรี้ยว หรือรสขมไหลย้อนขึ้นมาทางปาก ทำให้เกิดอาการระคายบริเวณลำคอ และแสบอก หรือจุกเสียดบริเวณใต้ลิ้นปี่ และมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อร่วมด้วย มักพบในผู้ที่มีอาการอาหารไม่ย่อย อาการเหล่านี้ส่งผลกับชีวิตประจำวันได้ รู้แบบนี้แล้วมาดูวิธีป้องกันโรคกรดไหลย้อนกันเถอะ!

12 วิธีป้องกันโรค "กรดไหลย้อน"
หลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นทำให้เกิดกรดไหลย้อน รวมถึงสังเกตปริมาณอาหารที่ทานเข้าไปด้วย

ไม่ควรทานอาหาร และดื่มน้ำมากๆ ระหว่างทานอาหาร

ควรทานอาหารช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียด เพื่อหลีกเลี่ยงอาหารกลุ่มเสี่ยง

หลีกเลี่ยงอาหารทอด อาหารมัน อาหารย่อยยาก เนื้อติดมัน อาหารที่มีรสจัด ช็อกโกแลต ถั่ว ลูกอม เปปเปอร์มินต์ เนย ไข่ นม กาแฟ ชา น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์

ทิ้งช่วงเวลาทานอาหารจากเวลาเข้านอนอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง

เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆเพื่อผ่อนคลายความเครียด

งดสูบบุหรี่

หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อผ้าที่คับแน่น โดยเฉพาะบริเวณท้อง

ควรลดน้ำหนัก ในกรณีที่มีน้ำหนักเกิน

เวลานอนควรหนุนหัวเตียงให้สูงขึ้นจากพื้นราบประมาณ 6-10 นิ้ว

ทานยาตามแพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ ไม่ลดขนาดยา หรือหยุดยาเอง และมาพบแพทย์ตามนัดอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับขนาดยา

หากป่วยอย่าซื้อยามาทานเอง เนื่องจากยาบางชนิดทำให้กระเพาะอาหารมีการหลั่งกรดเพิ่มขึ้น หรือทำให้กล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่างคลายตัวมากขึ้น
 

ข้อแนะนำเหล่านี้เป็นเพียงการปฏิบัติเบื้องต้น และในผู้ป่วยที่ใช้ยาไม่ได้ผล หรือมีภาวะแทรกซ้อน ควรปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ หมั่นสังเกตอาการตนเองเป็นประจำ ลดการกลับมาเป็นซ้ำของกรดไหลย้อนบ่อยๆ ถ้าเป็นหนักแนะนำให้พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะดีที่สุด





หวยซอง เลขเด็ด อภิโชควิเคราะห์เลขรวย หวยรัฐบาล : Apichoke.net


 

เว็บไซต์ในเครือข่ายอภิโชค : apichokeonlin.com | apichoke.net | apichoke.biz | apichoke.me | apichoke.org | apichoke.info
"ศาสตร์ของการคำนวณหวย สถิติหวยความน่าจะเป็น บนเว็บนี้ เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน-นักคำนวณ และบุคคลทั่วไปตลอดจนเลขจากไสยศาสตร์ต่างๆ การที่ใครจะถูกสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือถูกหวย รวยด้วยหวย ก็เป็นเพียงแต่ การเสี่ยงโชค เสี่ยงดวง เท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ และไม่ควรงมงาย หากต้องการเสี่ยงโชค ซื้อหวย เล่นหวย ก็ขอให้ เสี่ยงโชคแต่พอเพียงตามกำลังของตนเอง อย่าซื้อเกินกำลังอาจทำให้เดือนร้อนได้"
คำเตือน : อย่าหลงเชื่อหากมีผู้อ้างตนเป็นอาจารย์ดังสามารถให้หวยถูก100%หรือให้ถูกทุกงวดแน่นอน หรืออวดอ้างว่ารู้จักกับเจ้าหน้าที่กองสลาก แล้วเรียกเก็บเงินจากท่าน
ข้อมูลในเว็บนี้ใช้ประกอบเสี่ยงโชคสำหรับซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลเท่านั้น ไม่สนับสนุนหวยที่ผิดกฏหมาย