ปกิณณกะ > ธรรมะ

ธรรมะ กับ ธรรมเมา

<< < (4/8) > >>

walaioo:
การเขียนสภาพธรรมที่มีเกิดขึ้นในตน
จะทำให้เป็นคนช่างสังเกตุ มีความละเอียดรอบครอบมากขึ้น

จะทำให้เห็นรายละเอียดสภาพธรรมต่างๆมากขึ้น
(อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัยของแต่ละคนด้วย)

วันนี้ รู้แบบนี้ วันต่อไป รู้แบบนี้
เมื่อถึงจุดๆหนึ่ง จะทำให้รู้ว่า เป็นความปกติของสภาพธรรมที่มีเกิดขึ้น
ความยึดมั่นถือมั่นในคำเรียก และสภาพธรรมต่างๆ จะลดน้อยลงไปเอง ตามเหตุปัจจัย


สภาพธรรมต่างๆ ที่มีเกิดขึ้นภายใน จะมีรายละเอียดมาก
ซึ่งสภาพธรรมทั้งหมด ที่มีเกิดขึ้น แท้จริงแล้ว เป็นเพียงเรื่องเกี่ยวกับผัสสะ ที่มีเกิดขึ้นเท่านั้นเอง





walaioo:
สิ่งที่ควรรู้และควรจำ

การดูสภาพธรรมของผู้อื่น ให้ดูการกระทำเพื่อดับเหตุแห่งทุกข์ ดูวิธีการกระทำเพื่อดับเหตุแห่งทุกข์นั้น ทำแบบไหน
ไม่ใช่จ้องดูกิเลส แล้วนำไปเปรียบเทียบ หาข้อเปรียบเทียบ หาข้อคิดเห็น ตามที่คิดเอาเองว่า น่าจะเป็นแบบนั้น แบบนี้

การกระทำแบบนี้(การเปรียบเทียบ) มีแต่การสร้างเหตุให้เนิ่นนาน มีแต่เหตุปัจจัยให้เกิดความฟุ้ง ปรุงแต่ง
ซึ่งมีผลต่อการปฏิบัติ หากมีสภาพใดเกิดขึ้น ความที่ไม่เคยพบเจอ เหตุปัจจัยจากความไม่รู้ที่มีอยู่ ทำให้เกิดความหลง ความพอใจ กับสภาพธรรมที่เกิดขึ้น


การทำความเพียร กระทำเพื่อดับ ที่ยังมีความมี ความเป็นนั่นเป็นนี่ ล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยที่มีอยู่
อวิชชาที่มีอยู่ วิจิกิจฉาที่มีอยู่ กิเลสทั้งหลายที่มีอยู่ มีมาก เป็นปัจจัยให้เกิดการสร้างเหตุ

ความสำคัญทั้งหมด ไม่ใช่กิเลส ที่เป็นตัวให้เกิดการสร้างเหตุ
แต่เป็นเพราะ อวิชชาที่มีอยู่ เหตุปัจจัยจากความไม่รู้ที่มีอยู่ จึงหลงกระทำ
หลงสร้างเหตุทั้งภายนอก(สร้างเหตุนอกตัว ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น


ทั้งภายใน สภาพธรรมต่างๆที่มีเกิดขึ้น เมื่อไม่รู้ว่า เกิดจากอะไรเป็นเหตุปัจจัย นิกันติ (ความยินดี ความพอใจ)
ตัณหา (ความติดใจในสภาพธรรมที่เกิดขึ้น) จึงบังเกิดขึ้นพร้อมมูล เพราะเหตุนี้ เหตุปัจจัยจากอวิชชาตัวเดียวเท่านั้น


หากรู้เท่าทันต่อสภาพธรรมที่เกิดขึ้น รู้ว่า เกิดขึ้นจากอะไรเป็นเหตุปัจจัย
ย่อมพยายามหยุดมากกว่าจะปล่อยไหลตามกิเลสที่เกิดขึ้น


หากรู้ว่า สภาพธรรมต่างๆที่มีเกิดขึ้นทั้งภายนอกและภายใน ที่มีเกิดขึ้น
ขณะจิตเป็นสมาธิ และไม่เป็นสมาธิ ว่าอะไรเป็นเหตุปัจจัย ให้สภาพธรรมเหล่านั้นบังเกิดขึ้น

หากรู้แล้ว ย่อมไม่ติดใจ เมื่อไม่ติดใจ กิเลสก็ทำอะไรไม่ได้
สักแต่ว่า มีกิเลสเกิดขึ้นเท่านั้นเอง สภาพธรรมที่เกิดขึ้น ก็จบลงแค่ตรงนั้น


ภาษาต่าง คำเรียกต่างๆ จะเรียกว่าอะไรก็ตาม เป็นเพียงการสมมุติขึ้นมา
 เพื่อใช้ในการสื่อสารตามสภาพสังคมนั้นๆ


สภาพธรรมที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง เป็นเพียงผัสสะที่เกิดขึ้น
เกิดเพราะเหตุ ดับเพราะเหตุ ที่เกินจากนั้น ล้วนเกิดจากความไม่รู้ที่มีอยู่


วิธีที่จะรู้คำเรียกต่างๆ สมควรกระทำมากที่สุด
ควรศึกษาพระธรรมคำสอน จากพระไตรปิฎก (สำหรับผู้มีสัญญามาก มักสนใจกับความหมาย คำเรียกต่างๆ)
ส่วนคำที่บอกเล่ากันมา ใครเชื่อใคร ไม่เชื่อใคร ล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยที่มีต่อกัน


สิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเน้นนักหนา แก่นแท้พระธรรมคำสอน
ทรงเน้นเรื่อง การปฏิบัติเพื่ออนุปาทาปรินิพพาน(การไม่เกิด) ไม่ใช่ความเป็นนั่น เป็นนี่ในสมมุติ







walaioo:
http://www.youtube.com/watch?v=77UCWq5DpC4

walaioo:
บททดสอบ


เรียนใน รู้นอก เรียนนอก รู้ใน สภาพธรรมต่างๆที่เกิดขึ้น มาสอนให้รู้แบบนั้น



walaioo:
รู้สึกเครียด


เป็นคนที่ค่อนข้างแคร์ความรู้สึกของผู้อื่น
อะไรที่ใส่ใจมากเกินไป ทำให้รู้สึกเครียด

บางครั้ง ก็ลืมวัตถุประสงค์ ที่ตั้งใจไว้แต่แรกว่า ตั้งกระทู้เพื่ออะไร
หากทำเหมือนคนอื่นๆที่เขาทำกัน คงไม่ต้องรู้สึกอะไร
กล่าวคือ ไม่มีการตอบหรือทักทายกับใครๆ


เหตุจาก สายสัมพันธ์ ที่มีต่อกัน
จึงทำให้รู้สึกเครียด

เมื่อมีเข้ามาให้กำลังใจ และทักทาย
แต่วลัยพรแทบจะไมไ่ด้ทักทายใคร ส่วนมากให้กำลังน้ำใจตอบแทนกลับไป

เรื่องนี้เคยพูดให้แฟนฟัง
แฟนบอกว่า ก็บอกแล้วว่า อย่าตั้งกระทู้
พอตั้งกระทู้แล้ว ย่อมมีสายสัมพันธ์ต่อกัน

แล้ววลัยพรเป็นคนที่ค่อนข้างแคร์ เอาใจใส่ต่อความรู้สึกของคนอื่น จึงทำให้เป็นแบบนี้
หากไม่รู้สึกอะไรด้วย ก็คงไม่เป็นแบบนี้

คิดทบทวน จึงคิดว่า ลบกระทู้ดีกว่า
ถ้าต้องการแบ่งปันข้อมูล นำไปโพสที่ห้องหวยซองแทน

ลบกระทู้เอง ก็ลบไม่เป็น
แจ้งผู้ดูแลบอร์อดไปแล้วว่า กรุณาช่วยลบกระทู้ให้ด้วย


รู้สึกสบายใจขึ้น   
ไม่งั้น เครียดจริงๆ   H]#

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version